Quote
Factory Buyer Rate Questions

บล็อก

อนาคตของการขนส่งท่ามกลางการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน: นโยบายของทรัมป์จะส่งผลต่อการค้าโลกในปี 2025 อย่างไร?

14 Mar 2025

By Martina Kao    Photo:CANVA


I. พายุภาษีของทรัมป์และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตลาดเศรษฐกิจและการค้า

การปรับอัตราภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาของประธานาธิบดีทรัมป์กำลังส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนโยบายเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดอย่างรุนแรง ลดความเชื่อมั่นของนักลงทุน และอาจเป็นภัยคุกคามต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

การเปลี่ยนแปลงในนโยบายภาษีและผลกระทบต่อตลาด

ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าจะเพิ่มภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดาเป็น 25% ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็ว ดัชนี S&P 500 เข้าใกล้ระดับการปรับฐาน ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์และแนสแด็กก็มีการปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ความปั่นป่วนในตลาดครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า และอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลง

นโยบายการค้าของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะการปรับภาษีการนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากแคนาดา ได้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกลง ดัชนี VIX ปรับตัวสูงขึ้น ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่านักลงทุนหันไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่ามีนโยบายเหล่านี้อาจเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโลก โดยนำไปสู้การชะลอตัวของอุปสงค์และอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น

ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงชะลอตัว

วอลล์สตรีทเริ่มกังวลมากขึ้นว่า นโยบายของทรัมป์อาจบั่นทอนความพยายามในการรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ท่ามกลางภาวะชะลอตัว ความไม่แน่นอนทางการค้าและความเสี่ยงของภาวะเศรฐกิจถดถอยทำให้รัฐบาลมุ่งเน้นการใช้นโยบายมาตรการภาษีศุลกากรเพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการเหล่านี้ได้สร้างความปั่นป่วนในตลาด โดยดัชนีหุ้นหลักปรับลดลงอย่างรุนแรง นักวิเคราะห์กังวลว่า นโยบายการค้าดังกล่าวอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับคำกล่าวอ้างของประธานาธิบดีเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์: ไต้หวัน, ทะเลจีนใต้, ความท้าทายด้านโลจิสติกส์ในตลาดเกิดใหม่
สถานการณ์ในช่องแคบไต้หวัน: หากความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงตึงเครียด ไต้หวันในฐานะศูนย์กลางของโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก อาจเผชิญกับข้อจำกัดในการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น

 • ปัญหาความปลอดภัยการขนส่งในทะเลแดงและทะเลจีนใต้: การโจรกรรมทางทะเลและความไม่มั่นคงทางการเมืองในภูมิภาคทะเลแดงเมื่อเร็วๆ นี้ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในการขนส่ง และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเส้นทางการขนส่งและเพิ่มต้นทุนการขนส่งในอนาคต
สงครามรัสเซีย-ยูเครนส่งผลกระทบต่อโลจิสติกส์โลก: การจำกัดการส่งออกพลังงานของรัสเซียส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อแรงขับเคลื่อนการค้าระหว่างตลาดยุโรปและเอเชีย


II. แนวโน้มและการคาดการณ์ตลาดการขนส่งในปี 2025

  1. อุปสรรคทางการค้าสูงขึ้นและความต้องการขนส่งสินค้าทั่วโลกชะลอตัว
    การเพิ่มภาษีการนำเข้าจากคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ เช่น จีน แคนาดา และเม็กซิโก จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ บริษัทต่างๆ อาจเลือกที่จะลดการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และหันไปสำรวจตลาดอื่นๆ แทน ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการเส้นทางการขนส่งสินค้าระหว่างทวีปแปซิฟิกลดลง และส่งผลกระทบต่อปริมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ในเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฯ
    เส้นทางที่ได้รับผลกระทบ: เมื่อความต้องการในเส้นทางเอเชีย-อเมริกาลดลง เส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและละตินอเมริกาอาจกลายเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับบริษัทที่มองหาตลาดทางเลือก
    ตลาดทางเลือก: กิจกรรมการค้าภูมิภาค เช่น ยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกกลางอาจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่อาจได้รับประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน

  1. อัตราค่าขนส่งผันผวนอย่างรุนแรง และตลาดเข้าสู่ช่วงการปรับตัว
    ความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีทำให้บริษัทต่างๆ ระมัดระวังในการตัดสินใจนำเข้าและส่งออก ซึ่งอาจทำให้เกิดความผันผวนที่มากขึ้นในอัตราค่าขนส่งในตลาดการขนส่งสินค้าตามแนวโน้มของตลาดในช่วงนี้ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้:
    ระยะสั้น (ครึ่งแรกของปี 2025): เมื่อผู้นำเข้าและผู้ส่งออกพยายามส่งสินค้าออกก่อนที่อัตราภาษีใหม่จะมีผล อาจมีความต้องการตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะทำให้อัตราค่าขนส่งเพิ่มขึ้น
    ระยะกลาง (ครึ่งหลังของปี 2025): เมื่อตลาดปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของอัตราภาษีใหม่ หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวและการบริโภคลดลง ความต้องการขนส่งอาจลดลง ทำให้อัตราค่าขนส่งลดลง
    ระยะยาว (หลังปี 2026): เมื่อบริษัทต่างๆ ปรับกลยุทธ์ห่วงโซ่อุปทานและความต้องการขนส่งในภูมิภาคเพิ่มขึ้น อาจทำให้อัตราค่าขนส่งภายในภูมิภาคสูงขึ้น ในขณะที่เส้นทางการค้าระหว่างทวีปอาจเผชิญกับความกดดันที่มากขึ้น

  1. การปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน และประโยชน์จากการขนส่งในภูมิภาค
    บริษัทอเมริกันกำลังพิจารณาย่อลงของห่วงโซ่อุปทานเพื่อลดการพึ่งพาการผลิตจากจีน ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย: เวียดนาม, ไทย, อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ อาจกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตใหม่ ส่งเสริมการเติบโตของการค้าภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นประโยชน์ต่อการขนส่งภายในภูมิภาคเอเชีย
    ตามแนวโน้มของตลาด ทิศทางต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ควรให้ความสนใจ:
    อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Apple และ Samsung กำลังเร่งตั้งโรงงานในอินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อลดการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีน
    การผลิต: เวียดนามและอินโดนีเซียได้กลายเป็นจุดหมายการผลิตใหม่ โดยบางบริษัทจีนได้ย้ายโรงงานไปต่างประเทศเพื่อลดผลกระทบจากอุปสรรคภาษี
    โลจิสติกส์การขนส่ง: ท่าเรือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น สิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยถ่ายการค้าระหว่างประเทศใหม่

  1. การปรับเปลี่ยนการจัดสรรเรือและการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของบริษัทการขนส่ง
    ตามที่ความต้องการในตลาดเปลี่ยนแปลง บริษัทการขนส่งหลักอาจทำการปรับเปลี่ยนการจัดสรรทรัพยากรเรือและปรับเส้นทางการขนส่ง:
    บริษัทการขนส่งขนาดใหญ่: อาจลดความสามารถในการให้บริการในเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฯ และเพิ่มความสามารถในเส้นทางเอเชีย-ยุโรป, เอเชีย-ตะวันออกกลาง หรือเส้นทางภายในภูมิภาค
    บริษัทการขนส่งขนาดเล็กและขนาดกลาง: อาจมุ่งเน้นไปที่ตลาดการขนส่งในภูมิภาค เช่น เส้นทางภายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการค้าชายฝั่งในทวีปอเมริกา เพื่อเติมเต็มช่องว่างในตลาด
    ความร่วมมือในกลุ่มพันธมิตร: อาจเกิดความร่วมมือที่ใกล้ชิดมากขึ้นระหว่างบริษัทการขนส่ง เช่น บริษัทขนส่งขนาดใหญ่ที่ปรับความสามารถของตนเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด

บทสรุป: ตลาดการขนส่งกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง และการตอบสนองที่ยืดหยุ่นคือกุญแจสำคัญ
โดยรวมแล้ว ตลาดการขนส่งในปี 2025 จะได้รับผลกระทบอย่างลึกซึ้งจากนโยบายภาษีของทรัมป์ และรูปแบบการค้าระหว่างประเทศและโมเดลห่วงโซ่อุปทานจะมีการเปลี่ยนแปลง บริษัทต่างๆ ควรเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างใกล้ชิด พิจารณาห่วงโซ่อุปทานในระดับภูมิภาค ลดการพึ่งพาตลาดเดียว และปรับกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่นเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต

Get a Quote Go Top