By Richie Lin    Photo：PEXELS

ในทุกวันเรามักได้รับข้อมูลจากสายการเดินเรือ ข่าวสาร ข่าวลือ และการพูดคุยเกี่ยวกับแนวโน้มของค่าระวางเรือสินค้าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจถือเป็นข้อมูลที่น่าเชื่อถืออย่างแท้จริงสำหรับการตัดสินใจ มีความกลัว อารมณ์ และการคาดเดาต่าง ๆ หมุนเวียนอยู่ในตลาดเสมอ แต่ในท้ายที่สุด กฎของอุปสงค์และอุปทานยังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดราคาสินค้าและบริการบางประเภท

โดนัลด์ ทรัมป์ได้รับการเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา ตามคำสัญญาที่นายทรัมป์ได้กล่าวไว้ในระหว่างการหาเสียง การแยกตัวออกจากจีน (De-coupling) และการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศหรือใกล้ภูมิภาค (Reshoring หรือ Nearshoring) จะถูกเร่งให้เร็วขึ้นในอีกสี่ปีข้างหน้า ดังนั้น ตลาดจึงคาดการณ์ว่าจะมีการนำเข้าสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นก่อนหรือในช่วงต้นการบริหารงานของทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เราก็ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับการนัดหยุดงานที่อาจเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้นตามท่าเรือในสหรัฐฯ และแคนาดา รวมทั้งการล่าช้าหรือการยกเลิกการเดินเรือบางเส้นทางเนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัย และการขาดแคลนแรงงานระหว่างการขนส่ง นอกจากนี้ โรงงานขนาดใหญ่ที่สุดในโลก-จีน จะมีวันหยุดช่วงปีใหม่หลังจากวันที่ 20 มกราคม 2025 หลายปัจจัยที่ทำงานร่วมกันในช่วงนี้ทำให้หลายคนคาดหวังว่าเรือเดินสมุทรจะปรับเพิ่มอัตราค่าระวางในอนาคตอันใกล้ แต่เรามีปัจจัยอื่น ๆ ที่สามารถใช้ในการทำนายแนวโน้มได้ชัดเจนกว่าความคาดหวังที่หวังลม ๆ แล้ง ๆ หรือไม่?

แม้ว่าจะมีเหตุผลหลายประการที่อาจโปร่งใสหรือซ่อนอยู่เบื้องหลังกระบวนการตัดสินใจของสายการเดินเรือ ตัวแทนขนส่งสินค้า และลูกค้า แต่เราสามารถใช้ตัวชี้วัดเศรษฐกิจมหภาค เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) คำสั่งซื้อสินค้าคงทน สินค้าคงคลังของผู้ผลิตและลูกค้ารายปลายทาง เพื่อทำนายแนวโน้มค่าระวางเรือในอนาคตอันใกล้

ก่อนที่เราจะพิจารณาข้อมูลในปัจจุบัน เราควรใช้เวลาในการดูข้อมูลในอดีตเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างตัวเลขทางเศรษฐกิจและการเพิ่มหรือลดลงของค่าระวางเรือ เรามาดูข้อมูลในปี 2020 และ 2021 เมื่อค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์กันก่อน โดยเริ่มจาก ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จากที่ต่ำสุดที่ 41.5 ในเดือนเมษายน 2020 ไปถึงระดับสูงสุดที่ 64.7 ในเดือนเมษายน 2021 ต่อมา อัตราการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อสินค้าคงทนจากที่ต่ำสุดที่ -27.9% ในเดือนเมษายน 2020 ไปถึงสูงสุดที่ 53.63% ในเดือนเมษายน 2021 และตัวเลขของสินค้าคงคลังของผู้ผลิตที่หักออกจากสินค้าคงคลังของลูกค้าลดลงจากที่ต่ำสุดที่ -21 ในเดือนเมษายน 2020 ไปถึงสูงสุดที่ 36 ในเดือนเมษายน 2021

PMI คำสั่งซื้อสินค้าคงทน และสินค้าคงคลังของผู้ผลิตและลูกค้ารายปลายทางทั้งหมดลดลงอย่างรุนแรงในเดือนเมษายน 2020 เนื่องจากการล็อกดาวน์จากโควิด-19 หลังจากนั้นได้รับการกระตุ้นจากการชดเชยจากรัฐบาลและการช้อปปิ้งออนไลน์ที่สะดวก ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้นและค่อยๆ ขึ้นถึงระดับสูงสุดในเดือนเมษายน 2021

โดยปกติแล้ว การสั่งซื้อสินค้าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนจากการผลิตจนถึงการวางขายในร้าน ดังนั้นเราจึงเริ่มเห็นค่าระวางเรือเริ่มสูงขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคม 2020 แล้วพุ่งขึ้นไปถึงระดับสูงสุดในช่วงต้นปี 2022 เราได้เห็นราคาที่ไม่น่าเชื่อถึง 20,000 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุตจากจีนไปยังลอสแอนเจลิส

หลายคนอาจกล่าวว่า การขาดแคลนแรงงานที่ท่าเรือและสถานีขนส่งทางรถไฟ การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และการขาดแคลนคนขับรถก็เป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าระวางเรือสูงขึ้น แต่แรงขับเคลื่อนที่แท้จริงเบื้องหลังการเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลนี้คือความต้องการจริงจากลูกค้า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราสังเกตเห็นค่าระวางเรือเริ่มลดลงหลังจากที่ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจเริ่มพลิกกลับในเดือนเมษายน 2021

ตอนนี้เรากลับมาที่ตัวเลขเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดัชนี PMI ของเดือนตุลาคมอยู่ที่ 46.5 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังคงไม่ดี และสินค้าคงคลังขนาดใหญ่ที่สะสมในช่วงการระบาดของโควิด-19 ยังคงจำกัดความสามารถของผู้ค้าปลีกและผู้ค้าส่งในการสั่งซื้อสินค้าใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลที่อัตราการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนตุลาคมลดลง -2.1% หากไม่นับรวมคำสั่งซื้อเครื่องบินและอุปกรณ์ทางทหาร ซึ่งหมายความว่า บริษัทในสหรัฐฯ ยังคงกังวลเกี่ยวกับยอดขายสินค้าของตนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า และจะยังคงจำกัดการสั่งซื้อและการผลิตอย่างระมัดระวัง นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ตัวเลขเปรียบเทียบสินค้าคงคลังระหว่างผู้ผลิตและลูกค้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจย่ำแย่แค่ไหน ในบริบทของดัชนีการผลิต ISM หากสินค้าคงคลังของทั้งผู้ผลิตและลูกค้ายังคงต่ำ แสดงว่า ผู้ผลิตในภาคการผลิตโดยรวมอาจมีโอกาสเพิ่มคำสั่งซื้อและเข้าสู่ขั้นตอนการเติมสินค้าคงคลัง โดยการหักลบตัวเลขหนึ่งจากอีกตัวหนึ่ง เราสามารถเข้าใจสถานการณ์สินค้าคงคลังในภาคการผลิตและภาคการจัดจำหน่ายได้

เมื่อความแตกต่างระหว่างสินค้าคงคลังของผู้ผลิตและลูกค้าเพิ่มขึ้น หมายความว่าสินค้าคงคลังของลูกค้าหรือผู้ใช้ปลายทางอยู่ในจุดต่ำ และห่วงโซ่อุปทานอยู่ในช่วงการเติมสินค้าคงคลัง เมื่อความแตกต่างเริ่มลดลงหรือกลายเป็นลบ แสดงถึงการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของสินค้าคงคลังของลูกค้าและการชะลอตัวของความต้องการสินค้า ซึ่งเข้าสู่ระยะเวลาการจัดการสินค้าคงคลัง และยังบ่งชี้ถึงการสิ้นสุดของวงจรการผลิต ในเดือนตุลาคม สินค้าคงคลังของผู้ผลิตอยู่ที่ 46.20 และสินค้าคงคลังของลูกค้าหรือผู้ใช้ปลายทางอยู่ที่ 47.40 ความแตกต่างอยู่ที่ -1.2 จุด ซึ่งหมายความว่าเศรษฐกิจยังคงอยู่ในช่วงการหดตัว เป้าหมายหลักในตอนนี้คือการจัดการสินค้าคงคลังแทนที่จะผลิตสินค้าใหม่สำหรับการบริโภคในอนาคต

หลังจากที่ได้ทบทวนข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับดัชนี PMI, อัตราการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อสินค้าคงทนประจำปี และสินค้าคงคลังของผู้ผลิตและลูกค้า เราสามารถสรุปได้อย่างมั่นใจว่าอัตราค่าระวางเรือระหว่างประเทศจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคตอันใกล้

โดยทั่วไปแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อจนถึงการผลิตสินค้า ดังนั้น ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในเดือนนี้จะมีผลกระทบอย่างน้อย 3 เดือนในภายหลัง ซึ่งหมายความว่าลูกค้าจะไม่มีความต้องการในการขนส่งทางทะเล ทางอากาศ หรือประเภทการขนส่งอื่นๆ จนกว่าจะถึงไตรมาสแรกของปี 2025 อย่างไรก็ตาม สายการเดินเรือจะยังคงใช้วิธีการยกเลิกการเดินเรือ (Blank Sailings), ความกลัวในการหยุดงานที่ท่าเรือ, วิกฤตการณ์ในทะเลแดง และที่สำคัญที่สุดคือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศเพื่อผลักดันอัตราค่าระวางเรือขึ้น ทุกวันเราจะพบกับข้อมูลมากมายจากสายการเดินเรือ ข่าวลือและกระแสต่างๆ เกี่ยวกับแนวโน้มของอัตราค่าระวางเรือทางทะเล อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์พื้นฐานจากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจคือข้อมูลที่สามารถนำมาพึ่งพาได้จริงในการตัดสินใจ มีความกลัว อารมณ์ และการคาดเดาที่หมุนเวียนในตลาดตลอดเวลา แต่ในท้ายที่สุด มันคือกฎของอุปสงค์และอุปทานที่กำหนดราคาของสินค้าหรือบริการบางอย่าง

ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต