"Bond Fee" ที่เรียกเก็บโดยศุลกากรสหรัฐฯ เมื่อทำการนำเข้าสินค้าคืออะไร?

By Vincent Wen Photo:CANVA
“Bond Fee” ที่เรียกเก็บเป็นหลักประกันเพื่อรับรองว่าผู้นำเข้าจะดำเนินการเกี่ยวกับข้อพิพาท ค่าชดเชย หรือปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นหลังจากการนำเข้าสินค้าโดยสมบูรณ์ หากผู้นำเข้าทิ้งสินค้าหรือปฏิเสธการชำระค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากเหตุสุดวิสัย ศุลกากรสหรัฐฯ มีสิทธิ์ไม่เพียงแต่ทำการประมูลสินค้าเท่านั้น แต่ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับหนังสือค้ำประกันเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนการผ่านศุลกากร เช่น ค่าจัดเก็บสินค้า อากรขาเข้า และค่าธรรมเนียมการดำเนินงานของท่าเรือ (THC) ผู้ได้รับประโยชน์หลักจากหนังสือค้ำประกันนี้คือรัฐบาลสหรัฐฯ และหน่วยงานศุลกากร
ไม่ว่าสินค้าจะถูกขนส่งทางทะเลหรือทางอากาศ การนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องมีการซื้อหนังสือค้ำประกัน หรือเรียกว่าพันธบัตร โดยทั่วไปแล้ว หนังสือค้ำประกันมีสองประเภทหลัก ได้แก่:
1. พันธบัตรหรือหนังสือค้ำประกันแบบครั้งเดียว (Single Bond): หนังสือค้ำประกันประเภทนี้ถูกซื้อเป็นรายครั้งต่อการขนส่งหนึ่งครั้ง โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อการจัดส่ง (การนำเข้า) และเพิ่มขึ้น 5 ดอลลาร์สหรัฐสำหรับทุก ๆ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐของมูลค่าสินค้า สำหรับการขนส่งทางทะเลทั้งแบบเต็มตู้ (Full Container Load) และแบบไม่เต็มตู้ (Less-than-Container Load) ซึ่งต้องมีการยื่นเอกสาร ISF (Importer Security Filing) 10+2 หากเลือกใช้หนังสือค้ำประกันแบบครั้งเดียว จะต้องซื้อหนังสือค้ำประกัน ISF เพิ่มเติม โดยมีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อการขนส่ง สำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูงสุด 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม การขนส่งทางอากาศไม่ต้องมีการยื่น ISF ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้หนังสือค้ำประกัน ISF
2.พันธบัตรรายปี พันธบัตรนี้มีอายุการใช้งานหนึ่งปีและโดยทั่วไปมีค่าธรรมเนียมประมาณ 500 ดอลลาร์สหรัฐ สำหรับมูลค่าของสินค้าค้าสูงสุดถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี หลังจากที่ซื้อพันธบัตรรายปีแล้ว จะไม่จำเป็นต้องชำระค่าธรรมเนียมพันธบัตรแยกต่างหากสำหรับแต่ละเที่ยวของการขนส่งภายในระยะเวลาที่พันธบัตรมีผล ทำให้เหมาะสมและประหยัดกว่าผู้ค้าผู้ส่งออกที่ต้องการขนส่งสินค้าบ่อยครั้งไปยังสหรัฐอเมริกาในตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ยังมีวิธีการดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากรสองวิธี คือ (1) การผ่านพิธีการศุลกากรในชื่อของผู้รับสินค้าในสหรัฐฯ ซึ่งผู้รับสินค้าจะต้องให้เอกสารมอบอำนาจ (Power of Attorney: POA) และพันธบัตรของตนเอง; (2) การผ่านพิธีการศุลกากรในชื่อของผู้ส่งออก ซึ่งผู้ส่งออกจะต้องให้เอกสาร POA และมีประสานงานกับตัวแทนในสหรัฐฯ เพื่อขอหมายเลขบันทึกผู้นำเข้า (Importer Record Number) โดยตัวแทนจะช่วยดำเนินการในการซื้อพันธบัตร ทั้งนี้ผู้ส่งออกสามารถซื้อพันธบัตรรายปีได้เท่านั้น ไม่สามารถซื้อพันธบัตรแบบครั้งเดียวได้ ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด จำเป็นต้องมีหมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของบริษัทผู้รับสินค้าสหรัฐฯ ที่เรียกว่าหมายเลข IRS (The Internal Revenue Service) หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ออกโดยกรมสรรพากรสหรัฐฯ เพื่อใช้ในการดำเนินการผ่านพิธีการศุลกากร ทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออกสามารถชื้อพันธบัตรนี้ได้
การไม่ซื้อพันธบัตรถือเป็นการไม่ดำเนินการบันทึกกับศุลกากรของสหรัฐฯ เมื่อทำการนำเข้าสินค้า แม้ว่าจะได้ยื่น ISF (Import Security Filing) แล้ว แต่สินค้าก็อาจเจอกับการถูกปฏิเสธไม่ให้ผ่านหรือไม่อนุมัติ และมีค่าปรับเมื่อสินค้าถึงท่าเรือ พันธบัตรนี้แตกต่างจากค่าธรรมเนียมประกันภัยที่ผู้ส่งออกหรือผู้รับสินค้าต้องชำระ เนื่องจากพันธบัตรนี้ไม่มีความขัดแย้งกับประกันภัยการขนส่ง ซึ่งประกันภัยการขนส่งจะครอบคลุมเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นกับสินค้าระหว่างการขนส่งเท่านั้น.
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต