ส่งออกสินค้าครั้งแรกแต่ไม่รู้จัก Commercial Invoices, Packing Lists กับ Bills of Lading เลยจะเป็นอะไรหรือเปล่า?

By Andy Wang Photo:CANVA
สำหรับหลายๆบริษัท ก้าวแรกในการเข้าสู่โลจิสติกส์ระหว่างประเทศไม่ได้เริ่มจากตู้คอนเทนเนอร์หรือใบเสนอราคา แต่เริ่มจากแฟ้มเอกสารที่เต็มไปด้วยคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย
บางธุรกิจเคยแค่ค้าขายสินค้าภายในประเทศเพียงอย่างเดียว และกำลังวางแผนส่งสินค้าไปต่างประเทศเป็นครั้งแรก บางธุรกิจกำลังปรับโซ่อุปทานและต้องการนำเข้าวัตถุดิบหรือชิ้นส่วน บางธุรกิจพบโอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ และพบว่าพวกเขาต้องจัดการกับเอกสารส่งออก เส้นทางการขนส่ง และระเบียบศุลกากรที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
ในสถานการณ์แบบนี้ มักจะมี คำถามสองข้อ ที่ผุดขึ้นมาตลอด:
“นี่ต้องเข้าใจเอกสารพวกนี้จริงดิ?”
“ไม่ใช่ว่า forwarder จะจัดการทั้งหมดให้หรอกเหรอ?”
สำหรับหลายๆคน คำศัพท์อย่าง Commercial Invoice, Packing List และ Bill of Lading ไม่ได้ยากเกินไป เพียงแค่ไม่คุ้นเคย และความไม่คุ้นเคยนี่เองที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การจัดส่งครั้งแรกดูเครียดกว่าที่ควรจะเป็น
ข่าวดีคือ: คุณไม่จำเป็นต้องเป็น ตัวแทนออกของ หรือ ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ ขอเพียงแค่มีความเข้าใจในระดับนึง ให้พอที่จะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองได้ ก็ทำให้การนำเข้าและส่งออกครั้งแรกราบรื่นขึ้นมากแล้ว
บทความนี้ทำขึ้นมาเพื่อให้ผู้ส่งออกสินค้าหน้าใหม่โดยเฉพาะ!
1. จำไว้ว่าสามารถจ้างคนนอกให้ช่วยจัดการเอกสารได้ แต่ความรับผิดชอบส่วนใหญ่ยังอยู่ที่คุณ!
จริงๆแล้ว หลายบริษัทมักให้ตัวแทนขนส่งระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) หรือ ตัวแทนออกของช่วยจัดเตรียมเอกสาร โดยกระบวนการทำงานทั่วไปมักเป็นแบบนี้:
- ให้ข้อมูลการจัดส่งและข้อมูลลูกค้า
- พันธมิตรด้านโลจิสติกส์ช่วยจัดเอกสารให้กรอกให้ครบถ้วนอย่างเป็นระเบียบและมีรูปแบบ
- จากนั้นพวกเขาจะดำเนินการจอง ขึ้นทะเบียนเอกสาร และยื่นศุลกากร
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ธุรกิจจำนวนมากใช้ทำกัน
แต่สิ่งที่ผู้ส่งสินค้าใหม่หลายคนไม่รู้ก็คือ:
ไม่ว่าใครจะเป็นคนจัดเตรียมเอกสาร ผู้ส่งออกหรือผู้รับสินค้าจะต้องรับผิดชอบต่อความถูกต้องของข้อมูล
เพราะจริงๆแล้ว แม้ว่าตัวแทนขนส่งจะเป็นผู้ที่ช่วยจัดการเอกสารให้ แต่คุณก็ไม่ควรถือว่าเอกสารเหล่านี้เป็น “เรื่องของคนอื่น”
เพราะถ้ามูลค่าในใบ Invoice ผิด ความรับผิดชอบจะตกอยู่ที่ผู้ซื้อและผู้ขาย
ถ้า Packing List ไม่ตรงกับสินค้าจริง ความเสี่ยงจากการโดนตรวจสอบและความขนส่งล่าช้าก็จะตกอยู่กับผู้ส่ง
ถ้าชื่อผู้รับใน Bill of Lading ผิดและสินค้าปล่อยออกไม่ได้ที่ปลายทาง ความล่าช้าและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็ยังตกเป็นปัญหาของผู้ส่งเช่นกัน
ตัวแทนขนส่งของคุณสามารถช่วยจัดเอกสารให้เป็นระเบียบได้ แต่สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้คือ การตัดสินว่าธุรกรรมของคุณคืออะไร ขายไปในราคาเท่าไหร่ หรือคู่สัญญาทางการค้าของคุณคือใครซึ่งหน่วยงานศุลกากร ธนาคาร สายเรือ และสายการบิน ล้วนอ้างอิงข้อมูลจากเอกสารเหล่านี้
ดังนั้น การที่คุณต้องเข้าใจเอกสารไม่ได้หมายความว่า “ต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง”
แต่หมายถึงการรู้ว่าคุณกำลังเซ็นอะไร และคุณต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง
2. สามเอกสารสำคัญที่คุม เงิน สินค้า และสิทธิ์ในการครอบครองสินค้า:
เมื่อเห็นชื่อเอกสารทั้งหมดรวมๆกันอย่าง Commercial Invoice, Packing List, Bill of Lading, Air Waybill คุณอาจรู้สึกงงจนไปไม่ถูก
เราขอแนะนำวิธีดูแบบง่าย ๆ แบ่งตามบทบาทดังนี้:
- Commercial Invoice → เงิน (เป็นบันทึกทางการค้าของการทำธุรกรรม)
- Packing List → สินค้า (แสดงลักษณะสินค้าที่จัดส่งจริง)
- Bill of Lading / AWB → สิทธิ์ในการครอบครองสินค้า (ใครมีสิทธิ์รับหรือจัดการสินค้า)
ถ้าคุณสามารถจำหน้าที่ของทั้งสามเอกสารนี้ได้ ส่วนที่เหลือก็จะเข้าใจได้ง่ายขึ้นแล้ว
2.1 Commercial Invoice – ขายอะไร ภายใต้เงื่อนไขใด แล้วราคาเท่าไหร่
Commercial Invoice คือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกรรม มันไม่ใช่แค่แบบฟอร์มทั่วไป แต่เป็น บันทึกของข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอย่างเป็นทางการ
Commercial Invoice แบบทั่วไปมักประกอบด้วย:
- ข้อมูลของผู้ส่งออกและผู้นำเข้าสินค้า
- คำอธิบายสินค้าที่บอก จำนวน ราคาต่อหน่วย มูลค่ารวม และสกุลเงิน อย่างชัดเจน
- เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศที่ได้ตกลงกันไว้ (Incoterms) เช่น FOB, CIF, DAP, DDP เป็นต้น
- เงื่อนไขการชำระเงิน และหมายเลขคำสั่งซื้อ (Purchase Order)
- ประเทศต้นกำเนิดสินค้า หากปลายทางประเทศนั้นกำหนดให้ต้องแจ้ง
ส่วนในด้านศุลกากร แค่ต้องตอบคำถามง่ายๆ: คำอธิบายสินค้าชัดเจนไหม? มูลค่าถูกต้องไหม? ตรงกับเอกสารอื่น ๆ หรือเปล่า?
การใช้คำอธิบายแบบกว้าง ๆ เช่น “parts,” “goods” หรือ “samples” มักทำให้ศุลกากรสงสัย จนนำไปสู่การขอข้อมูลเพิ่มเติม หรืออาจนำไปสู่การตรวจสินค้าได้ ส่วนมูลค่าสินค้าที่ไม่ถูกต้องก็อาจทำให้ต้องมีการประเมินราคาใหม่ เกิดความล่าช้า หรือถูกปรับได้เช่นกัน
สรุปคือ Commercial Invoice คือ หลักฐานว่าขายอะไร ภายใต้เงื่อนไขใด และเป็นเอกสารสำคัญที่อยู่กึ่งกลางทั้งความสัมพันธ์ทางการค้า และ พิธีการศุลกากร
2.2 Packing List – สินค้าถูกบรรจุยังไง
ถ้า Commercial Invoice คือเรื่องของการซื้อขาย Packing List ก็เป็นเรื่องของ “กล่องและพาเลท”
Packing List คือภาพสะท้อนทางกายภาพของ Invoice ทำให้คลังสินค้า สายเรือ และเจ้าหน้าที่ศุลกากรเข้าใจได้ว่าภายในแต่ละลังมีอะไรบ้าง โดยไม่ต้องเปิดตรวจทุกกล่องทีละใบ
Packing List โดยทั่วไปจะระบุข้อมูลเหล่านี้:
- หมายเลขกล่องหรือพาเลท (C/No.) และจำนวนบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด
- รายการสินค้าและจำนวนของแต่ละรายการในแต่ละกล่อง
- น้ำหนักรวม (Gross Weight) และน้ำหนักสุทธิ (Net Weight)
- ขนาดกล่องหรือพาเลท
ว่าง่าย ๆ มันก็เหมือนกับ “ภาพถ่าย” ที่บอกวิธีที่สินค้าถูกจัดเรียงและบรรจุจริงในโลกความเป็นจริง
หากข้อมูลใน Packing List ไม่สอดคล้องกับ Commercial Invoice หรือไม่ตรงกับสินค้าที่บรรจุจริง อาจเกิดปัญหาหลายอย่าง เช่น คลังสินค้าอาจหาของไม่เจอ ศุลกากรอาจสั่งตรวจสินค้า สายเรือหรือผู้ขนส่งอาจปฏิเสธไม่รับขึ้นตู้ การปล่อยของที่ปลายทางก็อาจล่าช้า
ความไม่สอดคล้องกันระหว่างเอกสารเหล่านี้ เป็นหนึ่งในสาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในการปฏิบัติงานจริง.
2.3 Shipping Marks – วิธีที่เจ้าหน้าที่หาสินค้าของคุณในลานเก็บตู้
Shipping Marks ไม่ใช่ “เอกสารทางการ” แต่มีความสำคัญมากในขั้นตอนการปฏิบัติงานจริง
เพราะเป็นเครื่องหมายที่พิมพ์หรือแปะไว้บนกล่องและพาเลท เช่น:
- รหัสลูกค้าหรือแบรนด์
- หมายเลขคำสั่งซื้อ (PO)
- หมายเลขกล่อง (C/No.)
- ปลายทาง
- หรือสัญลักษณ์ใด ๆ ที่ใช้ระบุสินค้า
ในคลังสินค้า ลานตู้คอนเทนเนอร์ หรือพื้นที่โหลดของจริง เจ้าหน้าที่มักไม่ได้เดินถือเอกสารเป็นปึก ๆ แต่เขาดู “เครื่องหมายบนกล่อง” เป็นหลัก
ถ้าเครื่องหมายไม่ชัด ผิด หรือไม่มีเลย สินค้าของคุณอาจถูกส่งไปผิดโซน ถูกคัดแยกผิด ถูกลืมโหลด หรือปลายทางรับของผิดจำนวนได้
พูดอีกอย่างคือ Shipping Marks คือบัตรประชาชนที่อยู่ “ด้านนอก” ของกล่องนั่นเอง.
2.4 Bill of Lading / Air Waybill – เอกสารการขนส่งและสิทธิ์ในการรับสินค้า
Bill of Lading (B/L) ใช้สำหรับการขนส่งทางเรือ และ Air Waybill (AWB) สำหรับการขนส่งทางอากาศ ทั้งสองอย่างคือเอกสารหลักในการขนส่งสินค้า
สำหรับการขนส่งทางเรือ B/L จะออกโดยสายเรือหรือเอเยนต์ เพื่อยืนยันว่าพวกเขาได้รับสินค้าสำหรับการขนส่งแล้ว โดยในเอกสารจะระบุ:
- ชื่อผู้ส่งออก (Shipper) ผู้รับสินค้า (Consignee) และผู้รับแจ้ง (Notify Party)
- ชื่อเรือ เที่ยวเรือ ท่าเรือต้นทาง และท่าเรือปลายทาง
- จำนวนบรรจุภัณฑ์ น้ำหนัก และคำอธิบายสินค้าในเบื้องต้น
- เงื่อนไขการขนส่ง
ภายใต้ Bill of Lading แบบโอนสิทธิ์ได้ (Negotiable B/L) ใครก็ตามที่ถือใบ B/L ตัวจริง จะเป็นผู้มีสิทธิ์รับสินค้าปลายทาง อย่างไรก็ตาม ในการขนส่งยุคปัจจุบัน ยังมีแบบ ไม่โอนสิทธิ์ได้ เช่น Seaway Bill และ Straight B/L ซึ่งสิทธิ์ในการรับสินค้าจะผูกกับ “ชื่อผู้รับสินค้า” ที่ระบุในเอกสาร ไม่ใช่ตัวกระดาษต้นฉบับ
สำหรับการขนส่งทางอากาศ AWB ทำหน้าที่เป็น “สัญญาขนส่งและใบรับของ” มากกว่าจะเป็นเอกสารสิทธิ์ แต่ก็เป็นเอกสารสำคัญสำหรับการขนส่งและพิธีการศุลกากรเช่นกัน
จำไว้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง B/L ทุกรูปแบบ เพราะสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่จะส่งของครั้งแรกคือ:
การทำให้มั่นใจว่าชื่อ ที่อยู่ หรือข้อมูลสำคัญบนเอกสารการขนส่ง จะไม่ผิดพลาด สินค้าของคุณอาจถูกหน่วง หรือปล่อยไม่ได้ที่ปลายทาง
นี่คือเหตุผลที่ผู้ส่งของทุกคน ต้องตรวจสอบข้อมูลพื้นฐานบน B/L หรือ AWB ให้ถูกต้องเสมอ.
3. แล้วในฐานะผู้ส่งของเราจำเป็นต้องเข้าใจมากแค่ไหนกันแน่?
เป้าหมายของบทความนี้ไม่ใช่การทำให้คุณกลายเป็น “ตัวแทนออกของ” หรือผู้เชี่ยวชาญศุลกากร แต่เพื่อให้คุณ มีความเข้าใจมากพอที่จะไม่เซ็นเอกสารแบบไม่รู้เนื้อหา
คุณสามารถมองภาพรวมออกเป็น 3 ระดับ ได้แบบนี้:
3.1 ระดับที่หนึ่ง – รู้ว่าเอกสารแต่ละฉบับมีไว้ทำอะไร
อย่างน้อยที่สุด คุณควรดูเอกสารแต่ละฉบับแล้วบอกได้ว่า:
- “นี่คือ Commercial Invoice – ใช้แสดงมูลค่าสินค้าและเงื่อนไขการซื้อขาย”
- “นี่คือ Packing List – ใช้แสดงว่าสินค้าบรรจุอย่างไร และมีกี่ชิ้น”
- “นี่คือ Bill of Lading หรือ Air Waybill – เป็นบันทึกการขนส่งและระบุว่าใครมีสิทธิ์รับสินค้า”
เมื่อคุณรู้ว่าเอกสารไหนทำหน้าที่อะไร กระบวนการทั้งหมดจะดูง่ายขึ้นและไม่รู้สึกน่ากลัวอีกต่อไป
3.2 ระดับที่สอง – รู้ว่าจะต้องถามอะไรให้ถูกจุด
คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจทุกช่องของเอกสาร สิ่งสำคัญคือรู้ว่าควรสงสัยตรงไหนและควรถามเรื่องอะไร
ตัวอย่างคำถามที่ถูกต้องคือ:
- “ทำไม Incoterm ถึงระบุเป็น CIF? เราตกลงแบบนั้นกับลูกค้าไว้จริงหรือ?”
- “จำนวนสินค้าบน Packing List ตรงกับที่โกดังโหลดจริงหรือเปล่า?”
- “ชื่อผู้รับสินค้า (consignee) บน B/L คือบริษัทที่ควรมีสิทธิ์รับสินค้าจริงไหม?”
- “สินค้าพวกนี้ต้องใช้เอกสารพิเศษเพิ่มเติมไหม เช่น SDS, MSDS หรือเอกสารสำหรับแบตเตอรี่?”
การถามคำถามเหล่านี้ ก่อน ที่สินค้าจะเริ่มขนส่ง เป็นวิธีง่าย ๆ แต่ได้ผลมากที่สุดในการลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นภายหลัง.
3.3 ระดับที่สาม – รู้ว่าส่วนไหนเป็นหน้าที่ของเรา และส่วนไหนควรให้ผู้เชี่ยวชาญจัดการ
จุดนี้เป็นสิ่งที่ผู้ส่งของมือใหม่สับสนกันมากที่สุด
ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น เรื่องพิกัดศุลกากร ในฐานะผู้ส่งออก/ผู้นำเข้า คุณ คือคนที่รู้จักสินค้าดีที่สุด มันใช้ทำอะไร ผลิตจากอะไร มีส่วนผสมอะไร มีแบตเตอรี่ ของเหลว สารเคมี ผง แม่เหล็กแรงสูง หรือไม่ส่วนตัวแทนขนส่ง และตัวแทนออกของ
แต่การจัดพิกัดศุลกากรอย่างเป็นทางการ อัตราภาษี และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ควรให้ผู้เชี่ยวชาญศุลกากร หรือ ตัวแทนออกของ เป็นคนยืนยัน
กฎจำง่าย ๆที่ต้องจำคือ สินค้าที่มี แบตเตอรี่ ของเหลว สารเคมี ผง แม่เหล็กแรงสูง อาหาร หรืออาหารเสริม ควรให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบก่อนส่งครั้งแรกเสมอ
โครงสร้างงานที่ดีควรเป็นแบบนี้:
- คุณ (Shipper) ให้ข้อมูล : การใช้งาน วัสดุ ส่วนประกอบ คุณสมบัติด้านความปลอดภัย รูปสินค้า รวมถึง พิกัดศุลกากร ที่คุณรู้มาหรือเคยใช้
- ผู้เชี่ยวชาญ/ตัวแทนออกของ จะเป็นผู้ยืนยัน: พิกัดศุลกากร ที่ถูกต้องที่สุด อัตราภาษีและภาษีนำเข้าที่ต้องชำระ ใบอนุญาตหรือใบรับรองพิเศษที่ต้องใช้ (เช่น FDA, CE, กฎวัสดุอันตราย ฯลฯ)
สรุปคือ ข้อมูลจริงจากผู้ส่งของ + การจัดประเภททางศุลกากรจากผู้เชี่ยวชาญ = การปฏิบัติงานที่ถูกต้อง
4. สามขั้นตอนปฏิบัติสำหรับการนำเข้าหรือส่งออกครั้งแรก
คุณไม่จำเป็นต้องมีเช็กลิสต์เป็นร้อยข้อเพื่อส่งสินค้าครั้งแรก ในหลายกรณี เพียงแค่ทำ 3 ขั้นตอนอย่างรอบคอบ ก็ช่วยให้การส่งของราบรื่นได้มากแล้ว
4.1 ขั้นตอนที่หนึ่ง – จัดเตรียมข้อมูลสินค้าของให้ครบ
ก่อนที่จะสามารถจัดทำเอกสารได้ถูกต้อง สินค้าต้องถูกอธิบายอย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุด ควรเตรียมข้อมูลดังนี้:
- ชื่อสินค้าที่ชัดเจน (เป็นภาษาอังกฤษ และภาษาท้องถิ่นถ้าจำเป็น)
- การใช้งาน
- วัสดุและส่วนประกอบ
- มีแบตเตอรี่ ของเหลว แม่เหล็ก หรือสารเคมีหรือไม่
- รูปภาพของสินค้าที่ชัดเจน
- ข้อมูล พิกัด ที่คุณมีอยู่แล้ว (ยังไม่ต้องเป็นตัวไฟนอลก็ได้)
ยิ่งข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ชัดเจนมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งช่วยให้พันธมิตรของคุณทำงานได้ง่ายขึ้น และช่วยปกป้องคุณจากปัญหาการจัดพิกัดหรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบของศุลกากร.
4.2 ขั้นตอนที่สอง –เงื่อนไขการค้าระหว่างประเทศ (Trade Terms) ต้องชัดเจน
คุณไม่จำเป็นต้องจำ Incoterms ทุกข้อ แต่จำข้อมูลพื้นฐานได้เช่น:
- คุณรับผิดชอบสินค้าถึงจุดไหน – FOB, CIF, DAP, DDP?
- ใครเป็นผู้จ่ายค่าขนส่งและประกันภัย?
- ใครเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการผ่านศุลกากรส่งออกและนำเข้า?
- จุดไหนที่ความเสี่ยงจะย้ายจากผู้ขายไปยังผู้ซื้อ?
คำตอบของคำถามเหล่านี้จะสะท้อนตรงไปยัง Commercial Invoice, เอกสารการขนส่ง และท้ายที่สุดคือระบุว่าใครต้องรับผิดชอบเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น
4.3 ขั้นตอนที่สาม – ทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ แต่ต้องตรวจสอบครั้งสุดท้ายด้วยตัวเองเสมอ
บางตัวแทนขนส่งหรือผู้เชี่ยวชาญศุลกากรอาจมีเทมเพลตหรือช่วยคุณจัดเอกสารให้เรียบร้อย การสนับสนุนแบบนี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับการส่งสินค้าครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบสุดท้ายของเนื้อหาในเอกสารก็ยังคงอยู่ที่คุณ ดังนั้นก่อนยื่นเอกสารใด ๆ ควรใช้เวลา:
- ตรวจสอบว่า Commercial Invoice สะท้อนธุรกรรมที่เกิดขึ้นจริง
- ตรวจสอบว่า Packing List ตรงกับวิธีการบรรจุสินค้าจริง
- ยืนยันว่าข้อมูลสำคัญบน B/L หรือ AWB ถูกต้องและสอดคล้องกัน
การตรวจสอบครั้งสุดท้ายนี้ใช้เวลาไม่นาน แต่สามารถป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในภายหลังหลายวันหรือหลายสัปดาห์ต่อจากนั้นได้.
สรุป ไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง แต่ต้องปกป้องตัวเองได้ก็พอ!
ปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในการส่งสินค้าครั้งแรก ไม่ใช่การ “ทำทุกอย่างผิด” แต่คือ ไม่รู้ว่าควรดูตรงไหน และจุดเสี่ยงที่ต้องตรวจจริงอยู่ไหน
คุณไม่จำเป็นต้องจำกฎหมายศุลกากรทุกข้อ ไม่จำเป็นต้องจัดทำเอกสารทุกฉบับตั้งแต่ต้น แต่คุณควร:
- รู้ว่า เอกสารหลักแต่ละฉบับทำหน้าที่อะไร
- เข้าใจว่า ช่องข้อมูลไหนที่สำคัญ
- ให้ข้อมูลที่ซึ่งมีเพียงคุณเท่านั้นที่รู้ในฐานะผู้ส่งของถูกต้อง
- ให้ผู้เชี่ยวชาญช่วยในเรื่อง การจัดพิกัดสินค้า อัตราภาษี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ทำการตรวจสอบครั้งสุดท้าย ก่อนยื่นเอกสารหรือส่งสินค้า
เมื่อคุณทำได้ตามนี้ โลจิสติกส์ระหว่างประเทศจะไม่ใช่ “กล่องดำลึกลับ” อีกต่อไป แต่จะกลายเป็นกระบวนการที่คุณเข้าใจและสามารถจัดการได้
และเมื่อมีคนช่วยแปลศัพท์เทคนิคทั้งหมดให้เป็นคำง่าย ๆ ที่คุณเข้าใจได้ คุณก็จะพบว่าคุณสามารถ ควบคุมสินค้าของตัวเองได้เต็มที่ ตั้งแต่การบรรจุและรับสินค้า จนถึงศุลกากรและส่งมอบถึงมือลูกค้า.
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต