การขนส่งรองเท้าจากเวียดนามไปยังสหรัฐฯ: สิ่งที่ผู้ซื้อในสหรัฐฯ ต้องรู้!

By Martina Kao Photo:CANVA
ตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา เวียดนามได้กลายเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรองเท้าที่สำคัญที่สุดของโลก เพียงแค่ในปี 2024 ปีเดียว สหรัฐอเมริกาก็นำเข้ารองเท้าจากเวียดนามไปแล้วหลายร้อยล้านคู่ และเฉพาะในกลุ่มรองเท้ากีฬา เวียดนามยังครองสัดส่วนที่สูงมากทั้งในแง่ปริมาณและมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ
ในขณะเดียวกัน การค้าและภาษีได้ก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากกรอบความร่วมมือทางการค้าล่าสุดปี 2025 ระหว่างสหรัฐฯ–เวียดนาม ที่สินค้าส่วนใหญ่ที่มีถิ่นกำเนิดจากเวียดนามและส่งออกไปยังสหรัฐฯ (รวมถึงรองเท้า) จะถูกจัดเก็บภาษีแบบต่างตอบแทนที่ราว ๆ 20% และ หากการตรวจสอบพบว่าสินค้าในหนึ่ง shipment นั้นเป็นสินค้าจากประเทศที่สามซึ่งเพียงผ่านการแปรรูปเล็กน้อย หรือเป็นเพียงการลำเลียงถ่ายลำในเวียดนามเท่านั้น หรือที่เรียกกันว่า “origin-washing” ก็อาจทำให้อัตราภาษี 40% ถูกนำมาใช้ โดยทั้งนี้อัตราที่ใช้จริงก็ยังขึ้นอยู่กับพิกัดสินค้าและมาตรการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
สำหรับผู้ซื้อในสหรัฐฯ สิ่งนี้ทำให้เห็นได้ชัดแล้วว่า:
วิธีที่โรงงานใช้ในการจัดพิกัด (classification) ถิ่นกำเนิดสินค้า (origin) และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (compliance) ตั้งแต่การออกแบบสินค้า การผลิต ไปจนถึงเอกสาร จะเป็นตัวกำหนด ต้นทุนถึงปลายทาง (landed cost) และระดับความเสี่ยงของคุณโดยตรง
บทความนี้จึงจะมุ่งเน้นไปที่รองเท้าที่ส่งออกจากเวียดนามไปยังสหรัฐอเมริกา ภายใต้พิกัด HS 6401–6404 และสรุปประเด็นสำคัญที่ฝ่ายจัดหา และฝ่ายซัพพลายเชนในสหรัฐฯ ควรเข้าใจ
I. พิกัด 6401–6404 ครอบคลุมสินค้าอะไรจริง ๆ บ้าง?
ในการนำเข้าสินค้าเข้าสหรัฐฯ ใบขนขาเข้าจะใช้พิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐฯ (HTSUS codes) แบบ 8 หรือ 10 หลัก แต่จุดเริ่มต้นคือการเข้าใจ “ประเภท” 4 หลักภายในตอนที่ 64 ให้ชัดเจน โดยหากอธิบายแบบง่ายๆ ให้เหมาะกับการใช้ในทางปฏิบัติได้ จะมีดังนี้:
- พิกัด 6401 – รองเท้ากันน้ำ (Waterproof footwear)
รองเท้าที่พื้นด้านนอก (outer sole) และส่วนหุ้มเท้าด้านบน (upper) ทำจากยางหรือพลาสติก และถูกออกแบบมาให้กันน้ำ เช่น รองเท้าบูตกันฝน หรือรองเท้าบูตกันน้ำที่ใช้ในอุตสาหกรรมบางประเภท
- พิกัด 6402 – รองเท้าประเภทอื่นที่พื้นและตัวรองเท้าเป็นยาง/พลาสติก
รองเท้าที่พื้นรองเท้าด้านนอกและส่วนหุ้มเท้าด้านบนส่วนใหญ่เป็นยางหรือพลาสติก แต่ไม่เข้าเกณฑ์ “รองเท้ากันน้ำ” ตามนิยามของ พิกัด 6401 เช่น รองเท้ารัดส้น รองเท้าแตะ หรือรองเท้าโฟมขึ้นรูปชิ้นเดียวจำนวนมาก
- HS 6403 – รองเท้าที่ส่วนหุ้มเท้าด้านบนเป็นหนัง (Leather-upper footwear)
รองเท้าที่ส่วนหุ้มเท้าด้านบนส่วนใหญ่ทำจากหนังแท้หรือหนังสังเคราะห์ (โดยพื้นรองเท้าด้านนอกอาจเป็นยาง พลาสติก หรือหนังก็ได้) รองเท้าหนังแบบคลาสสิก รองเท้าบูตหนัง และรองเท้าหนังลำลองส่วนใหญ่จะถูกจัดอยู่ในหัวข้อนี้
- พิกัด 6404 – รองเท้าที่ส่วนหุ้มเท้าด้านบนเป็นสิ่งทอ (Textile-upper footwear)
รองเท้าที่ส่วนหุ้มเท้าด้านบนเป็นวัสดุสิ่งทอ (เช่น ผ้าทอ ผ้าถัก ตาข่าย ฯลฯ) โดยมักใช้พื้นรองเท้าด้านนอกเป็นยางหรือพลาสติก รองเท้ากีฬาเป็นส่วนใหญ่ รองเท้าวิ่งผ้าถัก และรองเท้าลำลองที่เป็นผ้าจำนวนมาก จะถูกจัดอยู่ในหัวข้อ 6404
ภายใต้หัวข้อใหญ่เหล่านี้ พิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐฯ ยังแยกรหัสและอัตราภาษีลงไป ตามปัจจัยต่าง ๆ อีก เช่น:
- เพศ (รองเท้าผู้ชาย / รองเท้าผู้หญิง / อื่น ๆ)
- ประเภท (รองเท้ากีฬา vs รองเท้าทั่วไป)
- มูลค่าต่อคู่
- คุณลักษณะพิเศษ เช่น มีหัวเหล็กนิรภัย (protective toe caps) หรือมีแผ่นเหล็กเสริมในพื้นรองเท้า เป็นต้น
สำหรับผู้ซื้อในสหรัฐฯ เราสามารถสรุปได้ว่า: วิธีที่ใช้กำหนดวัสดุและการใช้งานที่ตั้งไว้ตั้งแต่ช่วงออกแบบสินค้า รวมถึงวิธีอธิบายรายละเอียดเหล่านี้ในเอกสาร จะเป็นตัวกำหนดรหัส พิกัด และอัตราภาษีที่ใช้จริงกับรองเท้าแต่ละแบบโดยตรง
II. รองเท้าสำหรับเด็กและการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสารเคมี: ความเสี่ยงที่มองข้ามไม่ได้
สำหรับรองเท้าผู้ใหญ่ กฎระเบียบด้านสารเคมีของสหรัฐฯ ถือว่าสำคัญแต่โดยทั่วไปยังสามารถจัดการได้ แต่สำหรับรองเท้าสำหรับเด็ก ข้อกำหนดเหล่านี้จะกลายเป็น “กำแพง” ที่ไม่สามารถข้ามได้เลย
โดยมีกรอบกฎหมายสำคัญอยู่สองส่วนที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษคือ:
1. CPSIA และข้อจำกัดปริมาณสารตะกั่วในผลิตภัณฑ์เด็ก
กฎหมาย U.S. Consumer Product Safety Improvement Act (CPSIA) กำหนดเพดานปริมาณสารตะกั่วไว้อย่างเข้มงวดสำหรับผลิตภัณฑ์เด็ก รวมถึงรองเท้าที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุไม่เกิน 12 ปี โดยหลัก ๆ คือ:
- สำหรับชิ้นส่วนที่เด็กสามารถสัมผัสได้ วัสดุฐาน (substrate) ต้องมีปริมาณสารตะกั่วรวมไม่เกิน 100 ppm
- สารเคลือบผิว (เช่น สีและสารเคลือบลักษณะคล้ายกัน) ต้องมีปริมาณสารตะกั่วไม่เกิน 90 ppm
เมื่อรองเท้าสำหรับเด็กอยู่ในขอบเขตที่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสารเคมีของ CPSIA (เช่น เรื่องสารตะกั่ว หรือสารพาทาเลตในกรณีที่เกี่ยวข้อง) สินค้าจะต้องผ่านการทดสอบโดยบุคคลที่สามในห้องปฏิบัติการที่ CPSC รับรอง และต้องออกใบรับรองผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก (Children’s Product Certificate: CPC) โดยอ้างอิงข้อกำหนดและผลการทดสอบที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน
2. สารพาทาเลต (Phthalates)
ภายใต้ CPSIA ข้อจำกัดเกี่ยวกับสารพาทาเลตโดยตรงจะใช้กับของเล่นเด็กและ “อุปกรณ์ดูแลเด็ก (child care articles)” เป็นหลัก นั่นคือผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเรื่องการนอน การให้อาหาร การดูด หรือการกัดของเด็กเล็ก รองเท้าโดยทั่วไปจึงไม่ได้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มนี้โดยอัตโนมัติ
อย่างไรก็ตาม ผู้ค้าปลีกรายใหญ่และหลายแบรนด์มักขยายข้อกำหนด “ห้ามใช้สารพาทาเลตบางชนิด” ไปยังวัสดุที่ใช้ในรองเท้าเด็กทั้งหมดในคู่มือซัพพลายเออร์ของตนเอง โดยเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยง ซึ่งนี่เป็นแนวปฏิบัติของอุตสาหกรรมและนโยบายของแต่ละแบรนด์ ไม่ใช่ข้อบังคับตามกฎหมายโดยตรง แต่มีเป้าหมายเพื่อลดข้อพิพาทในกรณีที่มีการตีความข้อกำหนดได้หลายทาง
สำหรับผู้ซื้อในสหรัฐฯ แนวทางที่ควรจะทำมีดังนี้:
- ระบุให้ชัดเจนกับซัพพลายเออร์แต่ละรายว่าแต่ละรุ่นผลิตสำหรับช่วงอายุใดของเด็ก
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการทดสอบรองเท้าเด็กครอบคลุมถึงการทดสอบสารตะกั่ว สารพาทาเลต (ในกรณีที่เกี่ยวข้อง) และข้อกำหนดในรายการสารต้องห้าม (Restricted Substances List: RSL) ภายในของบริษัทคุณหรือของลูกค้าคุณ
- กำหนดให้ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดการทดสอบ ชำระค่าใช้จ่ายในการทดสอบ และเก็บบันทึกผลการทดสอบ โดยเฉพาะเมื่อใช้เงื่อนไขการซื้อขายแบบ FOB ที่ต้องตกลงบทบาทและความรับผิดชอบกันล่วงหน้าให้เรียบร้อย
III. การติด ฉลาก (Labeling) และ เอกสารกำกับสินค้า (Documentation)
ภายใต้มาตรา 19 U.S.C. §1304 ซึ่งเป็นกฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่กำหนดเรื่องการระบุถิ่นกำเนิดของสินค้านำเข้า และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สินค้านำเข้าทุกชนิดจะต้องระบุ“ประเทศผู้ผลิต/ถิ่นกำเนิด” เป็นภาษาอังกฤษบนตัวสินค้าให้ชัดเจน ติดทนพอสมควร และมองเห็นได้ง่าย เพื่อให้ผู้ซื้อขั้นสุดท้ายสามารถเห็นข้อมูลนี้ก่อนตัดสินใจซื้อ
สำหรับรองเท้า โดยปฏิบัติแล้ว CBP มักยอมให้ติดติดฉลากถิ่นกำเนิดสินค้าไว้ในตำแหน่งเหล่านี้:
- ติดป้ายที่ด้านในลิ้นรองเท้าหรือขอบข้อเท้า
- ติดบริเวณด้านในข้างรองเท้า (inside quarter) หรือจุดอื่นภายในรองเท้าที่มองเห็นได้ชัด
- ในทุกกรณี ฉลากต้องไม่หลุดลอกได้ง่ายๆจากการสวมใส่และการใช้งานตามปกติ และต้องมองเห็นได้ก่อนซื้อ จึงจะถือว่าปฏิบัติตามข้อกำหนด
- โดยทั่วไป CBP คาดหวังให้รองเท้าทั้งสองข้างในหนึ่งคู่มีการติดฉลาก ไม่ยอมรับการระบุถิ่นกำเนิดเฉพาะบนกล่องรองเท้า ยกเว้นในบางกรณีที่จริงๆเท่านั้น
สำหรับผู้ซื้อในสหรัฐฯ แนวทางปฏิบัติที่ดี ได้แก่:
- กำหนดให้รองเท้าทุกรุ่นมีฉลาก “Made in Vietnam” (หรือประเทศผู้ผลิตอื่น) ที่ชัดเจนและทนทาน
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลประเทศผู้ผลิตบนรองเท้า บนกล่องสินค้า บนใบกำกับสินค้า (commercial invoice) และบนเอกสารรับรองถิ่นกำเนิด มีความสอดคล้องตรงกัน เพื่อลดโอกาสที่ CBP จะตั้งข้อสงสัยหรือต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
ในส่วนของเอกสาร ฝ่ายชิปปิ้ง/ตัวแทนออกของของคุณจะต้องใช้ข้อมูลมากกว่าเพียงแค่หมายเลขสินค้าและราคาต่อหน่วย โดยอย่างน้อย สำหรับรองเท้าแต่ละรุ่น คุณควรเตรียมข้อมูลดังนี้:
- ส่วนประกอบวัสดุหลักของส่วนหุ้มเท้าด้านบน (upper) ซับใน (lining) และพื้นรองเท้าด้านนอก (outsole)
- รองเท้ารุ่นนั้นจัดเป็นของผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็ก พร้อมทั้งช่วงไซซ์ที่เกี่ยวข้อง
- รองเท้ารุ่นนั้นถือเป็นรองเท้ากีฬา รองเท้านิรภัย/รองเท้าป้องกันการบาดเจ็บ รองเท้าสลิปเปอร์ใส่ในบ้าน ฯลฯ หรือไม่
- ราคาต่อคู่
ความแม่นยำและครบถ้วนของคำอธิบายสินค้าในเอกสารการค้า มักเป็นตัวตัดสินว่า CBP จะยอมรับการจัดพิกัดที่คุณยื่นไป หรือจะส่งหนังสือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและขอเอกสารเพิ่ม ในทางปฏิบัติ หากคุณให้เพียงหมายเลขสินค้าและราคา การจัดพิกัดมักจะไม่ละเอียดพอ และมีความเสี่ยงในด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย
IV. บรรจุภัณฑ์ การควบคุมความชื้น และการขนส่ง
หากมองจากมุมมองโลจิสติกส์ รองเท้าที่อยู่ภายใต้ พิกัด 6401–6404 มีลักษณะร่วมหลายอย่างที่ส่งผลต่อทั้งต้นทุนและความเสี่ยงของผู้ซื้อในสหรัฐฯ โดยตรง เช่น:
1. ปริมาตรสูง แต่น้ำหนักค่อนข้างเบา
การที่รองเท้าแต่ละคู่ถูกบรรจุในกล่องย่อย แล้วนำไปจัดเรียงรวมในกล่องกลัง ทำให้ในการขนส่งทางอากาศ ขนส่งด่วน หรือทางเรือแบบ LCL มักคิดค่าขนส่งตาม “น้ำหนักปริมาตร” มากกว่าน้ำหนักจริงบนตาชั่ง เมื่อเปรียบเทียบซัพพลายเออร์หรือเงื่อนไขการซื้อขาย (เช่น FOB / CIF ฯลฯ) ควรคำนึงถึง:
- วิธีการจัดของในแต่ละกล่อง และปริมาณพื้นที่ว่างภายในกล่อง
- จำนวนคู่ต่อหนึ่งกล่อง ขนาดกล่อง และขนาดจริงที่วัดได้
- มีโอกาสในการลดปริมาตรลงอย่างเหมาะสมหรือไม่ โดยไม่กระทบกับภาพลักษณ์หรือคุณภาพของบรรจุภัณฑ์สำหรับหน้าร้าน
2. ความเสี่ยงเรื่องความชื้นและเชื้อราในการเดินเรือระยะไกล
การขนส่งทางเรือจากเวียดนามไปยังสหรัฐฯ มักผ่านเส้นทางที่มีอากาศร้อนชื้น หากโรงงานไม่มีเวลาตากรองเท้าให้แห้งเพียงพอก่อนบรรจุกล่อง ใช้กล่องกระดาษที่มีคุณภาพต่ำ หรือในตู้คอนเทนเนอร์มีความชื้นตกค้าง ส่วนหุ้มเท้าและพื้นรองเท้าด้านในจะมีโอกาสเกิดเชื้อราและกลิ่นอับสูงมากเมื่อไปถึงปลายทาง
เพื่อป้องกันปัญหานี้อาจต้องใช้มาตรการควบคุมที่รัดกุมขึ้น เช่น:
- เผื่อเวลาให้รองเท้าแห้งตัวอย่างเพียงพอก่อนบรรจุกล่อง
- ใช้สารดูดความชื้น (desiccant) ถุงบรรจุภายใน และกระดาษรอง/กระดาษซับที่เหมาะสม
- สำหรับ shipment ที่สำคัญ ทำการตรวจสอบสินค้าก่อนปิดตู้ หรือถ่ายภาพภายในตู้ก่อนซีลตู้ไว้เป็นหลักฐาน
3. พาเลทไม้และข้อกำหนด ISPM 15
หากซัพพลายเออร์ใช้พาเลทไม้หรือหีบไม้ จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด ISPM 15 ในการอบร้อนหรือรมยา และต้องมีตรา IPPC ที่ถูกต้อง มิฉะนั้น หน่วยงานของสหรัฐฯ อาจสั่งให้ต้องผ่านกระบวนการบำบัดใหม่ ทำลายสินค้า หรือส่งสินค้าออกกลับประเทศต้นทาง
เพื่อหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนนี้ ผู้ซื้อรายใหญ่จำนวนมากจึงกำหนดให้ใช้พาเลทที่ได้มาตรฐาน ISPM 15 หรือหันไปใช้วัสดุพาเลทที่ไม่ใช่ไม้และไม่ต้องรมยาเป็นมาตรฐาน
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต