Quote
Factory Buyer Rate Questions

บล็อก

บริษัทขนาดเล็กและกลางสามารถเข้าตลาดยุโรปผ่านคลังสินค้าทัณฑ์บนในเนเธอร์แลนดได้อย่างไร

14 Nov 2025

By Richie Lin    Photo:CANVA


จากสถิติปี 2567 การนำเข้าของสหภาพยุโรปมีมูลค่า 2.64 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ อยู่ที่ 3.36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่สหภาพยุโรปก็ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังเกิดความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐตั้งแต่ปี 2561 นอกจากนี้ การล็อกดาวน์ช่วงโควิด-19 ทำให้ผู้ประกอบการตระหนักว่า ไม่สามารถดำรงธุรกิจได้โดยพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานหรือเพียงตลาดเดียว พูดง่ายๆ คือ อย่าพึ่งพาตลาดเดียว ดังนั้น บริษัทหลายแห่งในเอเชีย รวมถึงบางบริษัทจากสหรัฐอเมริกา จึงลงทุนขยายตลาดในสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรก บริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมมักไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะจัดตั้งบริษัทในยุโรป นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการใช้คลังสินค้าทัณฑ์บนในเนเธอร์แลนด์ โดยแม้หลายประเทศในสหภาพยุโรปจะมีบริการคลังสินค้าทัณฑ์บน แต่คลังสินค้าทัณฑ์บนในเนเธอร์แลนด์ก็ยังถือว่ามีประสิทธิภาพสูงสุด จากตำแหน่งของท่าเรือรอตเตอร์ดัมและการเลื่อนการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

1. ภาพรวมคลังสินค้าทัณฑ์บนใน รอตเทอร์ดาม และ อัมสเตอร์ดัม

คำจำกัดความ

คลังสินค้าทัณฑ์บนในเนเธอร์แลนด์ คือสถานที่จัดเก็บสินค้าภายใต้การกำกับดูแลของศุลกากร ซึ่งสามารถเก็บรักษาสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดจากนอกสหภาพยุโรปได้โดยไม่ต้องชำระภาษีนำเข้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม จนกว่าสินค้าจะถูกนำออกจำหน่ายภายในตลาดสหภาพยุโรป

คุณสมบัติหลัก

  • การเลื่อนชำระภาษีอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม – ภาษีอากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสรรพสามิตจะถูกระงับไว้ชั่วคราวในขณะที่สินค้ายังคงค้างอยู่ในระบบทัณฑ์บน
  • ความยืดหยุ่นในการส่งออก – สินค้าสามารถส่งออกต่อไปยังนอกสหภาพยุโรปได้โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าของสหภาพยุโรป
  • เหมาะสำหรับการจัดจำหน่ายไปหลายๆตลาด – เนเธอร์แลนด์จะช่วยทำหน้าที่เป็นประตูสู่สหภาพยุโรปสำหรับสินค้าจากเอเชียไปประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป
  • ทำให้ขนส่งผ่านแดนง่ายขึ้น – สินค้าสามารถเคลื่อนย้ายภายใต้พิธีการศุลกากรแบบผ่านแดน (T1) จากท่าเรือไปยังคลังสินค้า หรือจากคลังสินค้าไปยังจุดศุลกากรของประเทศในสหภาพยุโรปอื่นๆ

ข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์

  • เพิ่มประสิทธิภาพกระแสเงินสด: ไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มหรืออากรนำเข้าล่วงหน้า
  • การรักษาความลับของผู้ให้บริการ 4PL: ผู้ให้บริการสามารถรวมสินค้าจากลูกค้าหลายรายไว้ภายใต้คลังสินค้าทัณฑ์บนแห่งเดียว พร้อมรักษาความลับของลูกค้าแต่ละราย
  • ความยืดหยุ่น: สามารถแบ่งส่ง ติดฉลากใหม่ บรรจุใหม่ หรือเลื่อนการนำเข้าขั้นสุดท้ายได้จนกว่าจะได้รับคำสั่งซื้อ

2. การจัดจำหน่ายแบบ B2B ผ่านคลังสินค้าทัณฑ์บน

ตัวอย่าง

  1. นำเข้า: เมื่อสินค้ามาถึงท่าเรือรอตเทอร์ดัมหรืออัมสเตอร์ดัม จะมีการออกเอกสาร T1 เพื่อขนส่งสินค้าต่อไปยังคลังสินค้าทัณฑ์บน
  2. การจัดเก็บ: สินค้าจะถูกจัดเก็บไว้ภายใต้การกำกับดูแลของศุลกากร โดยไม่ต้องชำระอากรนำเข้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม
  3. การจัดการคำสั่งซื้อ: เมื่อได้รับการยืนยันการสั่งซื้อจากลูกค้า B2B ภายในสหภาพยุโรป สินค้าจะถูกหยิบจากคลังและบรรจุเพื่อเตรียมขนส่ง
  4. การผ่านพิธีการศุลกากร: บริษัทที่อยู่นอกสหภาพยุโรปสามารถแต่งตั้งตัวแทนทางการคลังแบบจำกัดในประเทศเนเธอร์แลนด์ เพื่อดำเนินการสำแดงศุลกากรและยื่นขอเลื่อนการชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม (ตามใบอนุญาตมาตรา 23) ซึ่งจะโอนภาระภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังลูกค้าปลายทางในสหภาพยุโรป หรือเลือกให้คลังสินค้าทัณฑ์บนออกเอกสาร T1 เพื่อโอนพิธีการศุลกากรไปยังประเทศที่ลูกค้าปลายทางตั้งอยู่
  5. การส่งออกนอกสหภาพยุโรป: สำหรับสินค้าที่จำหน่ายให้ผู้ซื้อนอกสหภาพยุโรป สามารถส่งออกได้โดยตรงจากคลังสินค้าทัณฑ์บน โดยได้รับการยกเว้นอากรและภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. ธุรกิจ B2C และ FBA (Fulfillment by Amazon)

ตัวอย่างขั้นตอนการจัดเก็บสินค้าในเนเธอร์แลนด์และจัดส่งให้ลูกค้าโดยตรงหรือศูนย์กระจายสินค้า Amazon ในสหภาพยุโรป:
1. นำเข้า: สินค้ามาถึงท่าเรือรอตเทอร์ดัมหรืออัมสเตอร์ดัม จากนั้นออกเอกสาร T1 เพื่อขนส่งสินค้าต่อไปยังคลังสินค้าทัณฑ์บน

2. จัดเก็บ: สินค้าจะถูกจัดเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนภายใต้การกำกับดูแลของศุลกากร โดยไม่ต้องชำระอากรนำเข้าหรือภาษีมูลค่าเพิ่ม

3. การจัดการคำสั่งซื้อ: เมื่อได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อจากลูกค้า B2C หรือศูนย์กระจายสินค้า Amazon ภายในสหภาพยุโรป สินค้าจะถูกหยิบจากคลังและบรรจุเพื่อเตรียมขนส่ง หากปลายทางเป็นศูนย์ Amazon เจ้าหน้าที่คลังจะตรวจสอบว่าสินค้าได้ติดฉลาก Amazon เรียบร้อยแล้ว

4. การผ่านพิธีการศุลกากร: บริษัทที่อยู่นอกสหภาพยุโรปสามารถแต่งตั้งตัวแทนทางการคลังทั่วไป (GFR) เพื่อสำแดงศุลกากรและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ก่อนสินค้าจะออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน

5. ความแตกต่างระหว่าง LFR และ GFR

  • Limited Fiscal Representative (LFR):
     ทำหน้าที่เฉพาะธุรกรรมจำกัด ซึ่งมักเป็นธุรกรรม B2B ที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้า มักใช้เมื่อสินค้าถูกนำเข้าสู่สหภาพยุโรปและขายต่อให้ธุรกิจอื่นที่จดทะเบียน VAT ภายในสหภาพยุโรป
  • General Fiscal Representative (GFR):
     รับผิดชอบภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดสำหรับกิจกรรมที่ต้องเสียภาษีของบริษัทต่างชาติภายในประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ใช้เมื่อบริษัทนอกสหภาพยุโรปดำเนินธุรกิจ B2C ตามปกติ หรือขายออนไลน์ เช่น Amazon ในสหภาพยุโรป

 

ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต

Get a Quote Go Top