แนวโน้มการขนส่งในเอเชีย: ทิศทางและความเคลื่อนไหวในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

By Vincent Wen Photo:CANVA
หลังจากช่วงภาวะชะลอตัว อัตราค่าระวางเรือเริ่มแสดงสัญญาณของการฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ท่าเรือบางแห่งก็ยังคงเผชิญกับปัญหาความแออัด และบางเส้นทางการเดินเรือก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากปัญหาด้านความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย แม้ตลาดจะยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอน แต่ก็ยังมีโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
1. ภาพรวมปัจจุบัน: การเปลี่ยนแปลงทิศทางของตลาด
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่มีการเติบโตอิ่มตัวแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ได้ชะลอตัวลง ส่งผลให้กิจกรรมการส่งออกลดลง และปริมาณการขนส่งสินค้าบนเส้นทาง จีน–สหรัฐฯ อ่อนตัวลงตามไปด้วย
ขณะเดียวกัน ความต้องการนำเข้าในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผู้ส่งออกจีนจำนวนมากจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ ส่งผลให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตของธุรกิจขนส่งสินค้าทางเรือที่โดดเด่นในช่วงครึ่งหลังของปี
อัตราค่าระวางเรือซึ่งปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 เริ่มฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสที่สาม โดยข้อมูลจากดัชนีระหว่างประเทศ เช่น Drewry’s WCI ระบุว่า เส้นทางการค้าหลักเริ่มมีการปรับขึ้นของอัตราค่าระวางตั้งแต่เดือนตุลาคม ในระยะสั้น แม้อัตราค่าระวางจะยังคงผันผวน แต่มีแนวโน้มทรงตัวมากกว่าปีก่อนหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง ปัญหาความแออัดยังคงเกิดขึ้นเป็นระยะที่ท่าเรือหลายแห่งใน สิงคโปร์ และตามแนวชายฝั่งตะวันออกของ จีน การปรับเส้นทางเดินเรือ การขาดแคลนแรงงาน และการจัดสรรกองเรือใหม่ เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความล่าช้า ซึ่งสำหรับผู้นำเข้าและผู้ส่งออกแล้ว นั่นหมายความว่าระยะเวลาการจัดส่งสินค้ายังคงมีความไม่แน่นอนอยู่พอสมควร
2. ปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
การเมืองระหว่างประเทศและนโยบายการค้า:
ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน รวมถึงมาตรการภาษีศุลกากรและการควบคุมการส่งออก ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางการค้าโลก หากมีการประกาศนโยบายใหม่ๆอีก ก็อาจส่งผลให้รูปแบบการขนส่งมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
กลยุทธ์ของสายการเดินเรือ:
ท่ามกลางสถานการณ์ที่อุปสงค์มีความผันผวน ผู้ให้บริการขนส่งหลายรายเริ่มลดการพึ่งพาเรือคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่มาก (Ultra Large Container Vessels) และหันมาใช้กองเรือขนาดกลางที่มีความยืดหยุ่นสูงกว่า ซึ่งช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางและตารางการเดินเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การดำเนินงานของท่าเรือและสภาพอากาศ:
สภาพอากาศที่รุนแรง การขาดแคลนแรงงาน และปัญหาด้านความปลอดภัยในการเดินเรือ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจสร้างภาวะคอขวดในระยะสั้น ส่งผลให้ตารางการขนส่งล่าช้า และเพิ่มแรงกดดันต่อต้นทุนด้านโลจิสติกส์โดยรวม
3. พัฒนาการของเส้นทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การย้ายฐานการผลิตของโรงงานไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้กิจกรรมทางการค้าในภูมิภาคเติบโตอย่างต่อเนื่อง ท่าเรือสำคัญ เช่น โฮจิมินห์ สิงคโปร์ และกรุงเทพฯ กำลังเผชิญกับปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญอยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศจะสามารถรองรับการเติบโตนี้ได้หรือไม่ หากปัญหาคอขวดที่ท่าเรือรุนแรงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่งและทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูงขึ้น
จีน:
โครงสร้างการส่งออกของจีนกำลังปรับเปลี่ยนไป การส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาลดลง ขณะที่การส่งออกไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดเกิดใหม่อื่นๆ เพิ่มสูงขึ้น
การปรับสมดุลนี้กำลังส่งผลต่อการจัดสรรกำลังการผลิตของเรือและการดำเนินงานท่าเรือตามแนวชายฝั่งจีน ประสิทธิภาพของท่าเรือและการเชื่อมโยงการขนส่งภายในประเทศจะมีผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือในการจัดส่งของผู้ส่งออก
4. ความเสี่ยงและโอกาสทางธุรกิจก่อนสิ้นปี
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น:
เกิดความผันผวนในอัตราค่าระวางเป็นช่วงระยะสั้นๆ
เกิดภาวะคอขวดหรือเกิดความล่าช้าที่ท่าเรือสำคัญต่างๆ
เกิดการหยุดชะงักของเส้นทางขนส่งจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์หรือประเด็นด้านความมั่นคง
ความต้องการของตลาดหลักเกิดการอ่อนตัว เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป
โอกาสที่อาจเกิดขึ้น:
โอกาสจากความต้องการขนส่งในภูมิภาคที่แข็งแกร่ง เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทาน
โอกาสจากการเพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพด้านต้นทุนด้วยการใช้เส้นทางหลายท่าเรือและขนาดเรือที่หลากหลาย
โอกาสจากการกระจายฐานการผลิตและคลังสินค้าซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงอย่างเดียว
5. คำแนะนำสำหรับการประกอบธุรกิจ
กระจายเส้นทางและท่าเรือทางเลือก: หลีกเลี่ยงการพึ่งพาท่าเรือหรือเส้นทางการค้าเพียงแห่งเดียว วางแผนเส้นทางโลจิสติกส์ทางเลือกล่วงหน้าเพื่อลดความเสี่ยงจากความล่าช้า
ใช้สัญญาการขนส่งที่ยืดหยุ่น: ผสมผสานข้อตกลงระยะสั้นและระยะกลาง พร้อมติดตามดัชนีค่าระวางโลกอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับกลยุทธ์ทันสถานการณ์
ปรับกลยุทธ์สินค้าคงคลัง: กระจายสินค้าคงคลังระหว่างจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อลดผลกระทบจากความล่าช้าในการขนส่ง
เสริมการสื่อสารกับผู้ให้บริการขนส่งและผู้ส่งต่อ: รักษาการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงตารางเวลาและกำลังการขนส่ง
ติดตามนโยบายและสัญญาณตลาดอย่างใกล้ชิด: เฝ้าติดตามการปรับอัตราภาษี ข้อจำกัดการส่งออก และตัวชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญ เช่น ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) และตัวเลขการส่งออก เพื่อปรับกลยุทธ์การส่งออกเชิงรุก
6. สรุป
ตั้งแต่กลางปี 2568 จนถึงสิ้นปี ตลาดการขนส่งทางเรือยังคงมีความไม่แน่นอน แต่แฝงด้วยโอกาสและศักยภาพสูง การค้าระหว่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีนยังคงเติบโตแข็งแกร่ง เป็นสัญญาณของการปรับสมดุลสู่การเติบโตระดับภูมิภาค
บริษัทที่สามารถปรับตัวได้ดี มีกระจายความเสี่ยง และติดตามพัฒนาการตลาดอย่างใกล้ชิด จะมีความได้เปรียบและมีการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน แม้จะอยู่ในสภาวะความผันผวนของตลาดโลก
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต
 
         
        