Quote
Factory Buyer Rate Questions

บล็อก

อุตสาหกรรมความงามไทยเฟื่องฟู สร้างศูนย์กลางการส่งออกเครื่องสำอางในอาเซียน

15 Sep 2025

By Martina Kao    Photo:CANVA


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตเครื่องสำอางชั้นนำของเอเชีย บริษัทต่างชาติหลายบริษัทได้เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศ ขณะเดียวกัน แบรนด์ท้องถิ่นอย่างมิสทีนและศรีจันทร์ก็ขยายตลาดออกไปยังประเทศอื่นๆในอาเซียน รวมถึงอินเดียและตะวันออกกลางด้วย โดยความได้เปรียบของไทยไม่ได้อยู่ที่ส่วนผสมสมุนไพรธรรมชาติที่มีมากมายและแรงงานที่มีต้นทุนต่ำเท่านั้น เพราะประเทศไทยยังได้ลงนามในความตกลงการค้าเสรี (FTA) หลายฉบับ ทำให้ผู้ส่งออกสามารถได้รับประโยชน์จากการลดหรือยกเว้นภาษี นอกจากนี้ ตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ของไทยยังเอื้อต่อธุรกิจต่างๆที่หมายตาจะเข้าสู่ตลาด เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์ อีกด้วย

แต่แน่นอนว่า ยังคงมีความท้าทายอยู่บ้าง เพราะถึงแม้แบรนด์ไทยจะได้รับการยอมรับจากภายในภูมิภาค แต่การเข้าสู่ตลาดยุโรปและสหรัฐฯ จำเป็นต้องสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากลมากขึ้น อีกทั้งข้อกำหนดด้านกฎระเบียบยังแตกต่างกันไปในแต่ละตลาด เช่น สหภาพยุโรปที่บังคับใช้กฎระเบียบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางอย่างเข้มงวด ประเทศตะวันออกกลางที่ต้องการการรับรองฮาลาล ซึ่งหากใช้กลยุทธ์แบบ OEM/ODM เพียงอย่างเดียวก็มักจะเจอกับปัญหาเรื่องกำไร ดังนั้น แบรนด์ไทยจึงควรสร้างความแตกต่าง เช่น การเล่าเรื่องผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร หรือการนำเสนอเอกลักษณ์ด้านสมุนไพรไทย สปา และน้ำมันหอมระเหย

ด้วยการสนับสนุนจากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ทำให้เครื่องสำอางที่ผลิตในประเทศไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขันมากขึ้น ตราบใดที่สินค้าผ่านกระบวนการแปรรูปที่มีนัยสำคัญในประเทศไทยและได้รับหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ก็สามารถส่งออกไปยังอาเซียนหรือประเทศคู่ค้าภายใต้สิทธิพิเศษด้านภาษีหรือยกเว้นภาษีได้ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หลายแบรนด์ระดับนานาชาติตัดสินใจมาผลิตสินค้าในไทยภายใต้รูปแบบ OEM หรือ ODM ก่อนที่จะส่งต่อไปยังตลาดอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย นอกจากนี้ โรงงาน ODM ยังสามารถพัฒนาสูตรสมุนไพรได้เองในโรงงาน และแก้ปัญหาแบบครบวงจรให้กับเจ้าของแบรนด์ที่ต้องการเจาะตลาดฮาลาล ซึ่งมีความต้องการสูง อย่างตะวันออกกลาง


ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อใช้ประเทศไทยเป็นฐานการส่งออก

1. กฎระเบียบและการรับรอง

ฝั่งไทย (ประเทศผู้ส่งออก):

ผลิตภัณฑ์ต้องขึ้นทะเบียนกับ อย. ของไทย เพื่อยืนยันการปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านส่วนผสมและความปลอดภัย และ ผู้ส่งออกต้องขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) และกรอกแบบฟอร์ม D เพื่อให้ได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตาม FTA ของอาเซียน

  • ฝั่งประเทศผู้นำเข้า (ในอาเซียน):
    • เวียดนาม: ผู้นำเข้าต้องทำเรื่องแจ้ง Cosmetic Product Notification (CPN) และขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการยาของเวียดนาม (DAV)
    • อินโดนีเซีย: ผลิตภัณฑ์ต้องขึ้นทะเบียนกับ BPOM (สำนักงานควบคุมยาและอาหารแห่งชาติ) และต้องผ่านการรับรองฮาลาล ซึ่งจะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026
    • มาเลเซีย: ผลิตภัณฑ์ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ NPRA (สำนักงานควบคุมผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมแห่งชาติ)                                                                                   
      หมายเหตุ: การรับรองฮาลาลในมาเลเซียอยู่ภายใต้
      JAKIM (กรมพัฒนาอิสลามมาเลเซีย) แม้จะไม่บังคับตามกฎหมาย แต่มีอิทธิพลต่อการยอมรับสินค้าในตลาดสูง
    • ฟิลิปปินส์: เครื่องสำอางทุกชนิดต้องยื่น Certificate of Product Notification (CPN) และได้รับอนุมัติจาก อย. ฟิลิปปินส์ ก่อนนำเข้าและวางจำหน่าย

แต่ละตลาดในอาเซียนมีกฎระเบียบที่แตกต่างกันทั้งในเรื่องส่วนผสม ภาษาที่ใช้บนฉลาก การทดสอบและรับรอง ดังนั้นผู้ส่งออกต้องศึกษาและปฏิบัติตามข้อกำหนดของแต่ละประเทศเป็นรายกรณี

 

2. อัตราภาษีและความตกลงการค้าเสรี

  • หากผลิตภัณฑ์เป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้าอาเซียน (ASEAN Rules of Origin: ROO) ผู้ส่งออกสามารถยื่นขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าแบบฟอร์ม D เพื่อให้สินค้าเข้าสู่ประเทศคู่ค้าโดยได้รับการยกเว้นหรือสิทธิพิเศษทางภาษี
  • หากวัตถุดิบส่วนใหญ่ถูกนำเข้ามาจากนอกอาเซียน ผู้ส่งออกต้องมั่นใจว่ากระบวนการผลิตในประเทศไทยเป็นไปตามเงื่อนไข “การแปรรูปที่มีนัยสำคัญ” (substantial transformation) มิฉะนั้นจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภายใต้ FTA

 

3. บรรจุภัณฑ์และการติดฉลาก

  • ภาษา: ต้องใช้ภาษาท้องถิ่นของประเทศผู้นำเข้า (เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย)
  • ข้อมูลที่ต้องแสดง: ต้องแสดงชื่อผลิตภัณฑ์ ส่วนผสม รายละเอียดผู้ผลิต/ผู้นำเข้า เลขที่ล็อตการผลิต และวันหมดอายุ
  • ส่วนผสมที่มักเป็นประเด็น: ข้อกำหนดเกี่ยวกับสารกันเสีย สารฟอกขาว และสารให้สี แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ

นอกจากนี้ ผลประโยชน์จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อสินค้าได้รับการแปรรูปภายในเขตการค้าเสรี (FTZ) เพราะวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์สามารถนำเข้าได้โดยไม่เสียภาษี และสินค้าที่ทำเสร็จแล้วก็สามารถส่งออกต่อได้โดยไม่ต้องเสียภาษีเช่นกัน นอกจากนี้ เขต FTZ ยังทำให้สามารถทำกิจกรรมเพิ่มมูลค่าได้ เช่น การบรรจุใหม่ ติดฉลากใหม่ หรือผสมสินค้า และหากสินค้ามีการเปลี่ยนแปลงจากสินค้าเดิมที่มากพอ ผู้ส่งออกก็สามารถทำเรื่องขอเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ของไทยเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามข้อตกลงการค้าเสรีได้

จากมุมมองด้านโลจิสติกส์ เขตการค้าเสรี (FTZ) สามารถทำหน้าที่เป็นศูนย์กระจายสินค้าของอาเซียนได้ บริษัทต่างๆ สามารถรวมการนำเข้าวัตถุดิบ ทำการแปรรูปหรือใส่บรรจุภัณฑ์ใหม่ภายในเขต แล้วส่งออกตรงไปยังเวียดนาม อินโดนีเซีย หรือมาเลเซียพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านภาษีและการจัดการ ลดการทำเอกสารศุลกากรซ้ำซ้อน และยังได้รับประโยชน์จากระบบบัญชีศุลกากรอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ อีกทั้งธุรกิจยังสามารถปรับบรรจุภัณฑ์ก่อนส่งสินค้า เช่น การติดฉลากฮาลาลรับรอง หรือแปลภาษาท้องถิ่น เพื่อให้สินค้าปฏิบัติตามกฎระเบียบในหลายตลาดได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น

ในตลาดความงามที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน ฐานอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งของไทย ประกอบกับ สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากความตกลงการค้าเสรี (FTA) และความยืดหยุ่นในการดำเนินงานของเขตการค้าเสรี (FTZ) ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางยุทธศาสตร์สำหรับการส่งออกเครื่องสำอางไปยังอาเซียน สำหรับธุรกิจ นั่นหมายถึงไม่เพียงแค่ลดค่าใช้จ่ายในการเข้าสู่ตลาดภูมิภาค แต่ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ภายใต้ตราสินค้า “Made in Thailand” ไม่ว่าจะเป็นการตอบสนองความต้องการระยะสั้นในอาเซียนหรือการสร้างเครือข่ายการจัดจำหน่ายระดับโลกในระยะยาว ไทยถือเป็นจุดเริ่มต้นที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับแบรนด์ความงามที่ต้องการขยายสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต

Get a Quote Go Top