Quote
Factory Buyer Rate Questions

บล็อก

ฟิลิปปินส์: จากประเทศ “+1” สู่ฐานห่วงโซ่อุปทานหลักแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก

27 Aug 2025

By Nick Lung    Photo:CANVA


เพื่อตอบสนองต่อการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลกและการลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านห่วงโซ่อุปทาน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีข้อได้เปรียบเฉพาะตัวทั้งด้านภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติ และตำแหน่งเชิงยุทธศาสตร์ กำลังกลายเป็นจุดสนใจของสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และพันธมิตรตะวันตกอื่น ๆตั้งแต่โครงการรถไฟขนาดใหญ่ไปจนถึงความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ฟิลิปปินส์กำลังเร่งเดินหน้าเพื่อก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางสำคัญของห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคผ่านกลไกความร่วมมือพหุภาคี

 

1. การสนับสนุนเชิงภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการส่งเสริมความร่วมมือแบบพหุภาคีเพื่อสร้างศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทาน

 

ฟิลิปปินส์กำลังก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นสำคัญในการกระจายศูนย์ห่วงโซ่อุปทานของพันธมิตรหลักอย่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ในการประชุมไตรภาคีปี 2024 สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์ได้ตกลงที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในห่วงโซ่อุปทานแร่นิกเกิล โดยส่งเสริมให้ฟิลิปปินส์กลายเป็นแหล่งแร่สำคัญที่ไม่ใช่ของจีน นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยังเน้นย้ำการลงทุนในขีดความสามารถด้านการประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (A&T) เพื่อดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ โครงการเขตเศรษฐกิจลูซอนของฟิลิปปินส์ได้รับการสนับสนุนเงินลงทุนจากกรอบความร่วมมือ G7 และความร่วมมือระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น โครงการนี้ประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐาน เช่น เส้นทางรถไฟ ท่าเรือ และระบบเชื่อมต่อโลจิสติกส์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน

 

นอกจากนี้ กรมการค้าฟิลิปปินส์ (DTI) กำลังส่งเสริมประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้วยการลดอัตราค่าขนส่ง การนำใบตราส่งสินค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งาน การพัฒนายุทธศาสตร์ด้านโลจิสติกส์ระดับชาติ และการลงทุนในด้านการศึกษาและการฝึกอบรม โดยโครงการนี้มุ่งเน้นการประสานความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์

 


2. การย้ายฐานการผลิตและโอกาสด้านการลงทุนเพื่อขยายศักยภาพและกระจายห่วงโซ่อุปทาน

 

การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนได้เร่งให้เกิดการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทานด้านการผลิตอย่างรวดเร็ว โดยฟิลิปปินส์กลายเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับบริษัทจากสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น บริษัทเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ 3แห่ง โดย2 แห่งจากสหรัฐฯ และ 1แห่งจากญี่ปุ่น กำลังย้ายการลงทุนรวมมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐไปยังนิคมอุตสาหกรรมในฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมดำเนินการเต็มรูปแบบภายในปี 2026 และสร้างงานระหว่าง 2,500 ถึง 6,000 ตำแหน่ง

 

ส่วนในด้านของบริษัทญี่ปุ่น ก็กำลังสำรวจโอกาสในการบูรณาการการผลิตและห่วงโซ่อุปทานในฟิลิปปินส์อย่างแข็งขัน ผ่านทางหอการค้าและอุตสาหกรรมโอซาก้าและคณะผู้แทนในจังหวัดโอกายามะ โดยครอบคลุมอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรอิเล็กทรอนิกส์ การดูแลสุขภาพ และชิ้นส่วนยานยนต์

 

นิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แห่งแรกของฟิลิปปินส์ คือ First Philippine Industrial Park (FPIP) ในบาทางกัส นำโดยซูมิโตโม ประกอบด้วยบริษัทญี่ปุ่น 37 แห่ง สร้างงานประมาณ 70,000 ตำแหน่ง และกำลังอยู่ระหว่างการขยายและยกระดับสู่ระบบอัจฉริยะ เช่น การขยายบริการคลาวด์และบริการศูนย์ข้อมูล

 

 

3. นวัตกรรมทางเทคโนโลยีและห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน: การพัฒนาที่ควบคู่กันของระบบอัจฉริยะและความมิตรกับสิ่งแวดล้อม

 

อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของฟิลิปปินส์กำลังเกิดการปฏิวัติทางเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ (AI) แมชชีนเลิร์นนิง และแพลตฟอร์มอัตโนมัติอัจฉริยะถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในหลายด้าน เช่น การพยากรณ์สินค้าคงคลัง การเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางการขนส่ง และการออกแบบคลังสินค้าอัจฉริยะ ตัวอย่างเช่น บริษัท FAST Logistics Group สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO) และเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งผ่านการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ สถานีชาร์จที่องค์กรสร้างขึ้นด้วยตนเอง และระบบปรับปรุงประสิทธิภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์

 

ในด้านนโยบาย ฟิลิปปินส์ได้นำการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนมาเป็นส่วนหนึ่งของมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ (เช่น การพิจารณาผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคม) เพื่อตอบสนองต่อกระแสโลก เช่น ข้อกำหนดของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้ซัพพลายเออร์ต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซคาร์บอนและสภาพความเป็นอยู่ของแรงงาน นโยบายดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของซัพพลายเออร์ชาวฟิลิปปินส์ในตลาดโลก และเปิดโอกาสสู่ความร่วมมือที่มีมูลค่าสูงขึ้น

 

4. ความท้าทายและอุปสรรคในการเปลี่ยนแปลง: ปัญหาโครงสร้างพื้นฐาน สถาบัน และความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศที่ยังต้องได้รับการแก้ไข

 

แม้จะมีโอกาสมากมาย แต่ฟิลิปปินส์ยังคงต้องเอาชนะข้อจำกัดเชิงโครงสร้างบางประการ จากการวิจัยของสถาบันวิจัยแห่งหนึ่งในฟิลิปปินส์ พบว่า แม้ว่าฟิลิปปินส์จะมีอัตราภาษีนำเข้าที่ถูกเรียกเก็บจากสหรัฐฯ ที่ค่อนข้างต่ำ (เฉลี่ยประมาณ 19%) และได้รับการยกเว้นภาษี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ แต่ฟิลิปปินส์จะประสบปัญหาในการดึงดูดและรักษาการลงทุนจากต่างประเทศในระยะยาว หากปราศจากการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและกำลังการผลิต

 

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศยังถือเป็นภัยคุกคามในระยะยาวอีกด้วย โดยฟิลิปปินส์มักเผชิญกับภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศต่างๆ เช่น พายุไต้ฝุ่นและอุทกภัย ซึ่งสร้างความท้าทายอย่างมากต่อภาคเกษตรกรรม โลจิสติกส์ และความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

 

ฟิลิปปินส์มีทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญ ตลาดโลจิสติกส์ที่กำลังเติบโต แรงงานที่มีศักยภาพแลทรัพยากรสำคัญที่ได้รับความสนใจจากประเทศพันธมิตร ปัจจัยเหล่านี้ผสมผสานกันจนกลายเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคที่มีศักยภาพสูง อย่างไรก็ตาม การนำข้อได้เปรียบที่มีอยู่เหล่านี้ให้กลายเป็นผลลัพธ์อันเป็นรูปธรรมยังคงจำเป็นต้องฟันฝ่าอุปสรรคเชิงโครงสร้างหลายประการเสียก่อน

 

อันดับแรก ฟิลิปปินส์มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจนในนโยบายการค้าล่าสุดของสหรัฐฯ ด้วยการเก็บและการยกเว้นภาษีที่ถูกกำหนดไว้อย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประเทศอื่น ทำให้ฟิลิปปินส์ได้เปรียบในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ที่มีมูลค่าสูง นอกจากนี้ ฟิลิปปินส์ยังกำลังเจรจากับสหรัฐฯ ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ และประเทศอื่น ๆ เพื่อร่วมมือเพิ่มเติมในการลดการลงทุนจากจีนในภาคการทำเหมืองและการกลั่นแร่สำคัญ เช่น นิกเกิล ซึ่งช่วยสนับสนุนการกระจายและความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทาน

 

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และนักลงทุนระหว่างประเทศชั้นนำรายอื่นๆ ยังได้เรียกร้องให้มีการลงทุนด้านการประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ (A&T) ในฟิลิปปินส์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการพัฒนาโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญภายในเขตเศรษฐกิจมะนิลา-ลูซอน ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญสำหรับเงินทุน เทคโนโลยี และบุคลากรที่มีความสามารถไหลเข้า เมื่อประกอบกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดโลจิสติกส์ ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีสูงกว่า 5.8% และมูลค่าตลาดที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และมีศักยภาพที่จะสูงกว่า 3.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในอนาคต ฟิลิปปินส์จึงเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการขยายห่วงโซ่อุปทาน

 

แต่ศักยภาพนี้ก็มีข้อจำกัด ฟิลิปปินส์ยังต้องเผชิญกับจุดติดขัด เช่น โครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ การจราจรติดขัด และท่าเรือรวมถึงคลังสินค้าที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การจัดการห่วงโซ่อุปทานยังไม่ได้รับการนำไปใช้อย่างเต็มที่ในระดับองค์กรและเอสเอ็มอี และระดับข้อมูลสารสนเทศยังต่ำ ซึ่งจำเป็นต้องเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิทัลมากขึ้น อีกทั้ง แรงกดดันด้านต้นทุนและปัญหาการจัดหาพลังงาน (โดยเฉพาะพลังงานสะอาดและไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพ) อาจขัดขวางการลงทุนอย่างต่อเนื่องจากต่างประเทศและการลงทุนของบริษัท

 

ดังนั้น ด้วยความร่วมมือของผู้กำหนดนโยบายและภาคอุตสาหกรรม ศักยภาพของฟิลิปปินส์ในการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานแห่งอนาคตจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก หากเสริมความแข็งแกร่งในด้านต่อไปนี้พร้อมกัน:

 

การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน: รวมถึงท่าเรือ เครือข่ายการขนส่ง และการพัฒนาเขตโลจิสติกอัจฉริยะ

 

การปรับปรุงสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบและธุรกิจ: ปรับปรุงระบบการดึงดูดการลงทุน ลดอุปสรรคทางสถาบัน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกิจ

 

การสนับสนุนด้านพลังงานและดิจิทัล: พัฒนาพลังงานสะอาด และส่งเสริมการนำเทคโนโลยี 5G และห่วงโซ่อุปทานอัจฉริยะมาใช้

 

การปรับปรุงการบริหารจัดการบุคลากรและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน: เสริมสร้างการศึกษาและการฝึกอบรม การประยุกต์ใช้ข้อมูล และการนำอินเทอร์เน็ตของสิ่งต่างๆ (IoT) มาใช้

 

ฟิลิปปินส์กำลังวางรากฐานที่แข็งแกร่งเพื่อการเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานในอนาคต ในระยะสั้น ฟิลิปปินส์อาจทำหน้าที่เป็นสถานที่ "plus-one" สำหรับการย้ายฐานห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะในด้านแร่ธาตุสำคัญและการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง อย่างไรก็ตาม หากมาพร้อมกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กรอบการพัฒนาของสถาบัน และการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างครอบคลุม ก็จะมีศักยภาพที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็นศูนย์กลางห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคที่มีอิทธิพลเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

 

ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต

Get a Quote Go Top