ข้อควรระวังในการส่งออกสินค้าแคมปิ้งกลางแจ้งไปยังสหรัฐอเมริกา

By Nick Lung Photo:CANVA
เมื่อกระแสการพักผ่อนกลางแจ้งแพร่หลายไปทั่วโลก สหรัฐอเมริกาในฐานะหนึ่งในตลาดกิจกรรมกลางแจ้งและการตั้งแคมป์ที่เติบโตและพัฒนาอย่างเต็มที่ที่สุดแห่งหนึ่ง ยังคงมีความต้องการสินค้าแคมปิ้งหลากหลายประเภทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงดึงดูดผู้ส่งออกจำนวนมากเข้าสู่ตลาดนี้ อย่างไรก็ตาม ตลาดสหรัฐฯ มีข้อกำหนดที่เข้มงวดมากเกี่ยวกับความปลอดภัยของสินค้า มาตรฐานการปฏิบัติตามกฎระเบียบ บรรจุภัณฑ์ และสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การตีกลับสินค้า การเสียค่าปรับ หรือแม้แต่ปัญหาทางกฎหมาย สำหรับผู้ประกอบการที่วางแผนจะส่งออกสินค้าแคมปิ้ง เช่น เต็นท์ เตาไฟ ภาชนะ โต๊ะ เก้าอี้กลางแจ้ง ฯลฯ ไปยังสหรัฐอเมริกา การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้าน และทำความเข้าใจข้อกำหนดการนำเข้ารวมถึงลักษณะเฉพาะของตลาดอย่างถ่องแท้ คือหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้ราบรื่น และพัฒนาแบรนด์ในระยะยาว
บทความนี้จะรวบรวมข้อควรระวังหลักที่จำเป็นสำหรับการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา โดยครอบคลุมในด้านการตรวจสอบความสอดคล้องตามกฎหมาย การปฏิบัติด้านการยื่นพิธีการศุลกากร และความเสี่ยงทางการตลาด เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจเข้าใจทิศทางที่ถูกต้องและขยายตลาดได้อย่างมั่นคง
1. การปฏิบัติตามข้อกำหนดและมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้า: การปฏิบัติตามข้อกำหนดของสหรัฐฯ คือสิ่งสำคัญที่สุด
ก่อนที่จะส่งออกสินค้าแคมปิ้งกลางแจ้งไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา สิ่งแรกที่ต้องดำเนินการคือการยืนยันว่า สินค้านั้นเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องของสหรัฐฯ โดยสินค้าประเภทต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานที่แตกต่างกัน และมีข้อกำหนดเฉพาะที่ต้องปฏิบัติตาม
ตัวอย่างเช่น:
- เต็นท์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานความหน่วงไฟ CPAI-84 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการป้องกันไฟสำหรับเต็นท์ตั้งแคมป์ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้
- ถุงนอน เก้าอี้พับ ฯลฯ มักอยู่ภายใต้การกำกับของ คณะกรรมาธิการความปลอดภัยสินค้าอุปโภคบริโภคของสหรัฐฯ (CPSC) และต้องแสดงให้เห็นว่าสินค้าไม่มีความเสี่ยงที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค
- ภาชนะ เตา กาน้ำ ที่สัมผัสกับอาหารต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดวัสดุเกรดอาหารของ FDA
- หากสินค้า มีแบตเตอรี่หรือชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (เช่น โคมไฟแคมป์ เครื่องไล่ยุง ฯลฯ) อาจต้องสอดคล้องกับมาตรฐานของ FCC (อุปกรณ์คลื่นความถี่วิทยุ) หรือ UL (ความปลอดภัยทางไฟฟ้า) ด้วยเช่นกัน
บรรจุภัณฑ์สินค้าและคู่มือการใช้งาน ต้องเป็นภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน โดยต้องระบุชื่อสินค้า วัสดุ วิธีการใช้งาน คำเตือนด้านความปลอดภัย และ แหล่งผลิต อย่างชัดเจน เช่น “ผลิตในไต้หวัน”
2. กระบวนการผ่านพิธีการศุลกากรและพิกัดภาษี: เตรียมเอกสารและรหัส HTS ให้ถูกต้อง
จุดสำคัญลำดับถัดมาในการเข้าสู่ตลาดสหรัฐอเมริกาคือการยื่นศุลกากรและการจัดการภาษีนำเข้า โดยสินค้าทุกชิ้นต้องมี รหัส HTS (พิกัดอัตราศุลกากรแบบประสาน) ที่ถูกต้อง ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่ออัตราภาษีที่ต้องชำระ และยังอาจเกี่ยวข้องกับมาตรการกีดกันทางการค้าในบางกรณี
ตัวอย่างเช่น:
- เต็นท์อาจใช้รหัส 6306.22
- เก้าอี้พับอาจอยู่ในหมวด 9401.79
- เตาแคมปิ้งอาจอยู่ในหมวดเริ่มต้นด้วย 7321
การจัดหมวดหมู่สินค้าอย่างแม่นยำจะช่วยหลีกเลี่ยงข้อพิพาทในการยื่นศุลกากรและลดความเสี่ยงจากค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม
ผู้ส่งออกยังจำเป็นต้องเตรียม เอกสารศุลกากรให้ครบถ้วน ได้แก่:
- ใบกำกับสินค้า
- รายการบรรจุสินค้า
- ใบตราส่งสินค้า
- หนังสือรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า กรณีที่จำเป็น
หากใช้บรรจุภัณฑ์ไม้ จะต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ISPM 15 โดยผ่านการอบร้อน และประทับตราเพื่อป้องกันปัญหากักกันสินค้า
และในกรณีที่สินค้าถูกจัดส่งไปยังคลังสินค้าของ Amazon FBA จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านการติดฉลาก บาร์โค้ด และการจัดกล่องอย่างเคร่งครัดตามแนวทางของ Amazon
3. การเตรียมความพร้อมด้านการตลาดและการควบคุมความเสี่ยง: แบรนด์, การรับรอง และทรัพย์สินทางปัญญา
ความสำเร็จในการส่งออกไม่ได้จบเพียงแค่การผ่านด่านศุลกากร แต่ยังต้องอาศัยการวางแผนบุกตลาด และการควบคุมความเสี่ยงอย่างรอบด้านล่วงหน้า
อันดับแรก ผู้ซื้อรายใหญ่ในสหรัฐฯ หรือ แพลตฟอร์มออนไลน์ มักต้องการให้สินค้ามี รายงานการทดสอบจากบุคคลที่สาม เช่น Intertek, SGS, TÜV ฯลฯ เพื่อยืนยันคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า หากไม่สามารถจัดเตรียมได้ อาจทำให้เสียโอกาสในการจำหน่ายหรือถูกลบออกจากระบบ
ประเด็นถัดไปคือ การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
- ควรหลีกเลี่ยงการเลียนแบบ ดีไซน์ โลโก้ หรือรูปแบบบรรจุภัณฑ์ ที่คล้ายกับแบรนด์ในท้องถิ่น มิฉะนั้นอาจถูกฟ้องร้องในข้อหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นำไปสู่ความเสี่ยงทางกฎหมายและค่าเสียหายสูง
แนะนำให้ดำเนินการตรวจสอบเครื่องหมายการค้า ( เช่น ผ่านเว็บไซต์ของสำนักงานสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าสหรัฐฯ ) ในการออกแบบผลิตภัณฑ์และขั้นตอนการตั้งชื่อ รวมถึงการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในสหรัฐอเมริกา หากจำเป็น
- หากสินค้ามี ฟังก์ชันใหม่หรือนวัตกรรมเฉพาะ อาจพิจารณาการยื่นขอจดสิทธิบัตรเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของแบรนด์
การเตรียมพร้อมทั้งด้านกฎหมาย มาตรฐาน และภาพลักษณ์แบรนด์อย่างรัดกุม จะช่วยให้ผู้ส่งออกสามารถเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต