มาตรา 232 ของสหรัฐอเมริกา

By Tony Li Photo:CANVA
มาตรา 232 หมายถึง มาตรา 232 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการขยายการค้า (Trade Expansion Act) ปี 1962 กฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการกำหนดภาษีหรือออกมาตรการจำกัดทางการค้าการนำเข้า โดยเหตุผลด้านความมั่นคงของชาติ
สาระสำคัญ:
ตามมาตรา 232 หากมีสินค้านำเข้าบางประเภทที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ประธานาธิบดีสามารถตรวจสอบและตัดสินใจได้ว่าจะกำหนดภาษีหรือนำมาตรการทางการค้าอื่น ๆ มาใช้กับสินค้าเหล่านั้น หรือไม่ ซึ่งโดยปกติการตรวจสอบจะเริ่มต้นโดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นผู้ประเมินปริมาณ ชนิด และผลกระทบที่อาจมีต่อความมั่นคง จากนั้นจึงกำหนดภาษีต่อสินค้านำเข้าเหล่านั้น โดยในประวัติศาสตร์ อุตสาหกรรมหลักที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 232 ได้แก่:
1. อุตสาหกรรมเหล็ก
- ผลกระทบ: สหรัฐฯ เคยใช้มาตรา 232 ในการกำหนดอัตราภาษีนำการเข้าเหล็กโดยอ้างว่า การนำเข้าเหล็กในปริมาณมากอาจเป็นภัยต่อความมั่นคง โดยเฉพาะต่อทางกลาโหมและโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งมาตรการนี้ได้ช่วยปกป้องผู้ผลิตเหล็กและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตภายในประเทศ
- ขอบเขตของผลกระทบ: ปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ แต่ทำให้ราคาเหล็กนำเข้าสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาเหล็กเพิ่มขึ้น
2. อุตสาหกรรมอะลูมิเนียม
- ผลกระทบ: คล้ายกับของอุตสาหกรรมเหล็ก ทางสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรา 232 ในการกำหนดภาษีนำเข้าอะลูมิเนียม เนื่องจากอะลูมิเนียมมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ในอุตสาหกรรมการบิน การป้องกันประเทศ และยานยนต์ รัฐบาลจึงมองว่าจำเป็นต้องปกป้องอุตสาหกรรมนี้เพื่อความมั่นคง
- ขอบเขตของผลกระทบ: ช่วยเอื้อประโยชน์ต่อผู้ผลิตอะลูมิเนียมภายในประเทศ แต่ทำให้ราคาอะลูมิเนียมนำเข้าสูงขึ้น เพิ่มต้นทุนของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาอะลูมิเนียม เช่น ยานยนต์และการบินอวกาศ
การปรับเปลี่ยนภาษีตามมาตรา 232 สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียมประจำปี
- ปี 2018 (สมัยแรกของทรัมป์): กำหนดภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10%
- ปี 2025 (สมัยที่สองของทรัมป์):
มีนาคม: กำหนดภาษีความมั่นคง 25% ต่อเหล็กและอะลูมิเนียม
มิถุนายน: เพิ่มภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50%.
สิงหาคม: ขยายขอบเขตเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเหล็ก และ อะลูมิเนียมอีกประมาณ 407 รายการที่ต้องเสียภาษี 50%
3. อุตสาหกรรมยานยนต์
- ผลกระทบ: แม้การบังคับใช้มาตรา 232 ในภาคยานยนต์ยังมีจำกัด แต่รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่เก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ผ่านการบังคับใช้มาตรา 232 โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการแข่งขันรุนแรงระหว่างผู้นำเข้ากับผู้ผลิตภายในประเทศ
- ขอบเขตของผลกระทบ: หากดำเนินการจริง ราคารถยนต์นำเข้าจะสูงขึ้น อาจกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และเพิ่มแรงกดดันต่อผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯในตลาดโลก
4. อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ
- ผลกระทบ: อุตสาหกรรมการบินและอวกาศต้องพึ่งพาโลหะ เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม และนิกเกิลสูง การมีภาษีนำเข้าจึงทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมการบินของกองทัพและยุทโธปกรณ์สำหรับป้องกันและรักษาความมั่นคงของประเทศ
5. อุตสาหกรรมพลังงาน (น้ำมันและก๊าซ)
- ผลกระทบ: แม้มาตรา 232 มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์จากโลหะเป็นหลัก แต่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน เช่น ท่อส่งน้ำมัน และอุปกรณ์ก๊าซธรรมชาติ อาจถูกพิจรณาด้วย เนื่องจากมีผลต่อความมั่นคงด้านพลังงาน
6. อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์หนัก
- ผลกระทบ: เครื่องจักรและอุปกรณ์จำนวนมากพึ่งพาเหล็กและอะลูมิเนียม ทำให้ต้นทุนเพิ่มจากภาษีนำเข้ามาตรา 232 และส่งผลต่อราคาวัตถุดิบหลัก
7. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์
- ผลกระทบ: เซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มีบทบาทสำคัญในหลายภาคส่วน ทั้งด้านกลาโหม พลังงาน และเทคโนโลยีชั้นสูง แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรา 232 แต่ก็อาจได้รับผลกระทบ หากวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่นำเข้า ซึ่งมีความสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ และถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณา
8. อุตสาหกรรมก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
- ผลกระทบ: โครงการโครงสร้างพื้นฐาน (เช่น ถนน สะพาน ท่อส่ง ฯลฯ) มักต้องใช้เหล็กและอะลูมิเนียมในปริมาณมาก ดังนั้น อุตสาหกรรมเหล่านี้จึงได้รับผลกระทบจากนโยบายตามมาตรา 232 โดยเฉพาะเมื่อการนำเข้ามีต้นทุนสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนรวมของโครงการเพิ่มขึ้น
ผลกระทบโดยรวม:
- การคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ: สำหรับอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ เช่น เหล็กและอะลูมิเนียม มาตรา 232 ช่วยคุ้มครองโดยการลดการแข่งขันจากต่างประเทศและการทุ่มตลาด ทำให้การผลิตภายในประเทศมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
- ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น: อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบเหล่านี้ (เช่น ยานยนต์ อากาศยาน และการก่อสร้าง) อาจเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากอัตราภาษีและข้อจำกัดการนำเข้า ซึ่งอาจส่งผลต่อต้นทุนราคาสินค้า
- ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ: มาตรการจำกัดทางการค้ามักนำไปสู่การตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ส่งผลให้ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเศรษฐกิจโลกที่มีการเชื่อมโยงกันอย่างสูงในปัจจุบัน
การยกเว้นภาษีและข้อยกเว้นภาษี:
- สินค้าบางประเภท เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากเหล็กและอะลูมิเนียมที่หลอมและหล่อในสหรัฐฯ อาจได้รับการยกเว้นภาษี
- ประเทศบางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร อาจได้รับการยกเว้นชั่วคราวหรือได้รับโควต้าภาษีจากข้อตกลงการค้า
- ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเหล็กและอะลูมิเนียมที่หลอมและหล่อในสหรัฐฯ ก็อาจได้รับการยกเว้น
สรุป:
อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบหลักจากมาตรา 232 ได้แก่ อุตสาหกรรมหนัก การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และอุตสาหกรรมระดับสูง ซึ่งห่วงโซ่อุปทานมีความเสี่ยงจากภาษีและมาตรการจำกัดการนำเข้า หลังจากเริ่มบังคับใช้ มาตรา 232 ในปี 2018 ภาษีได้ถูกปรับเพิ่มและขยายขอบเขตในปี 2025 จุดมุ่งหมายหลักคือการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ แต่กลับสร้างผลกระทบต่อประเทศพันธมิตร
ตามประกาศของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ใน Federal Register สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคง (BIS) ได้กำหนดกระบวนการเพิ่มผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเหล็กและอะลูมิเนียมให้อยู่ในขอบเขตภาษีที่ประธานาธิบดีทรัมป์อนุมัติภายใต้มาตรา 232 โดยเส้นตายการยื่นคำขอคือวันที่ 29 กันยายน ข้อมูลข้างต้นเป็นข้อมูลล่าสุดจนถึงวันเผยแพร่บทความนี้
ขอบคุณที่เข้าอ่านนะครับ!
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต