แนวทางการปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศและการจำแนกสินค้าทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้ง ภายใต้ระบบ QMSR, EUDAMED และรหัสพิกัดศุลกากร (HS Code)

By Andy Wang Photo:CANVA
สินค้าทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้งอาจดูเรียบง่ายแต่เมื่อเข้าสู่กระบวนการศุลกากรและข้อกำหนดด้านกฎหมายแล้วคำอธิบายเพียงเล็กน้อยที่ไม่ชัดเจนก็อาจบานปลายจนนำไปสู่ความล่าช้าในการดำเนินการได้ บทความนี้จึงนำเสนอแนวทางเชิงปฏิบัติก่อนการส่งออก เช่น การอธิบายลักษณะผลิตภัณฑ์ การจัดประเภทพิกัดศุลกากร (HS/HTS) กรอบข้อกำหนดของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่ควรพิจารณา ตลอดจนเอกสารและฉลากที่ต้องจัดเตรียม โดยในทางปฏิบัติ ตัวแทนส่งของ (freight forwarder) มักทำงานร่วมกับตัวแทนออกของที่มีใบอนุญาต (licensed customs broker) เพื่อวางแผนเส้นทาง ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร และกำหนดขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากรให้เป็นไปตามกำหนดเวลา
บทที่1: อะไรบ้างที่นับเป็น “ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้ง”
ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์แบบใช้แล้วทิ้ง ในที่นี้จะถูกใช้ในสถานพยาบาลหรือการดูแลผู้ป่วย เช่น ถุงมือแพทย์ เข็มฉีดยาและกระบอกฉีดยา ผ้าก๊อซ/แผ่นปิดแผล สำลีก้าน และชุดอุปกรณ์ผ่าตัดแบบใช้แล้วทิ้ง การกำหนดลักษณะของสินค้าเหล่านี้ไม่ได้พิจารณาจากชื่อเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ผลิต (เช่น ยาง ผ้า พลาสติก อื่นๆ), วัตถุประสงค์ในการใช้งาน (ทางการแพทย์หรือไม่ใช่ทางการแพทย์), สถานะการฆ่าเชื้อ (ผ่านหรือไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ), และรูปแบบบรรจุภัณฑ์ (เช่น บรรจุภัณฑ์สำหรับใช้ในโรงพยาบาล/คลินิก/ผู้ใช้งานปลายทางโดยตรง)
ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยของข้อมูลเหล่านี้สามารถเปลี่ยนรหัสพิกัดศุลกากร เอกสารที่ต้องใช้ และข้อกำหนดด้านฉลากได้ กล่าวโดยย่อคือ: ต้องเขียนคำอธิบายผลิตภัณฑ์ให้ชัดเจนและถูกต้องก่อนเริ่มกรอกเอกสารใด ๆ
หมายเหตุ: นอกจากนี้ หากใช้ชื่อสินค้าสั้นๆอย่าง “gloves, powder-free” (ถุงมือ,ไม่มีแป้ง) ก็แทบที่จะการันตีได้เลยว่า จะนำไปสู่การกำหนดพิกัดสินค้าผิด และนำไปสู่การถามหาข้อมูลเพิ่มเติมอย่างแน่นอน
ใครทำหน้าที่อะไร (แผนผังหน้าที่แบบย่อ)
-
ผู้ส่งออก / ผู้นำเข้า (คุณหรือผู้ว่าจ้างคุณ): ต้องให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์และเอกสารที่ถูกต้อง และจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ได้สำแดง
-
ตัวแทนออกของ: นำกฎหมายมาใช้ในการจำแนกสินค้าและจัดการเอกสารศุลกากร รวมถึงการชำระภาษี/อากร และติดต่อหน่วยงานกำกับดูแล (เช่น FDA หรือหน่วยงานที่มีอำนาจในประเทศปลายทาง
-
ตัวแทนส่งของ (Freight forwarder): จัดการเรื่องการจอง การวางแผนเส้นทาง และกำหนดเวลาในการผ่านศุลกากร รวมถึงประสานเรื่องความสอดคล้องของเอกสาร ติดต่อประสานกับตัวแทนออกของ คลังสินค้า และบริษัทขนส่ง ในบางประเทศอาจมีทีมผ่านตัวแทนออกของภายในองค์กรหรือทำงานร่วมกับตัวแทนที่ได้รับใบอนุญาต
-
คลังสินค้า / ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (3PL): ทำหน้าที่เปลี่ยนฉลากสินค้า บรรจุใหม่ จัดการอุณหภูมิ และโอนกรรมสิทธิ์สินค้า
บทที่ 2: ทำไมการจำแนกสินค้าต้องมาก่อน? เพราะมันกำหนดภาษี มาตรการควบคุม และความเข้มงวดในการตรวจสอบ
HS/HTS (HS = ระบบพิกัดศุลกากรสากล; HTS = พิกัดศุลกากรของสหรัฐอเมริกา) คือ “บัตรประชาชน” ทางกฎหมายของสินค้า หากกำหนดถูกต้อง จะสามารถประเมินภาษี มาตรการควบคุม และความเสี่ยงในการตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ใช้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้เป็นแนวทาง (แต่รหัสสุดท้ายต้องให้ตัวแทนออกของเป็นผู้ตรวจสอบและต้องสอดคล้องกับสินค้าและการใช้งานจริง):
- ถุงมือยางทางการแพทย์: มักอยู่ในหมวด Chapter 40; ถุงมือผ่าตัด/ทางการแพทย์มักอยู่ที่ 4015.12; ถุงมือยางแบบใช้แล้วทิ้งอื่น ๆ มักอยู่ที่ 4015.19
- กระบอกฉีดยา / เข็ม: มักอยู่ใน Chapter 90 เครื่องมือแพทย์; กระบอกฉีดยาส่วนใหญ่อยู่ที่ 9018.31 (มีหรือไม่มีเข็มก็ได้); เข็มส่วนใหญ่อยู่ที่ 9018.32
- ผ้าก๊อซ / แผ่นปิดแผล / พลาสเตอร์: หากมีตัวยาหรืออยู่ในบรรจุภัณฑ์ขายปลีกทางการแพทย์ มักอยู่ใน Chapter 30 หัวข้อ 3005 (เช่น พลาสเตอร์ 3005.10, รายการอื่น ๆ จำนวนมากอยู่ที่ 3005.90)
แล้วตรงไหนที่มักทำให้คนสับสน?
ความก่ำกึ่งไม่ชัดเจนของตัวสินค้าคือจุดที่ความผิดพลาดมักจะเกิดขึ้น เช่น ของมาเป็นชุดอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Procedure packs) และ สินค้าที่ประกอบด้วยวัสดุหลายประเภท โดยทั่วไป ชุดอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกจัดประเภทตามหน้าที่หลักของมันหรือตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ไม่ใช่แยกตามรหัสของแต่ละชิ้น และคุณลักษณะบางอย่าง เช่น มีตัวยาหรือไม่ (medicated vs. non-medicated), ผ่านการฆ่าเชื้อหรือไม่ (sterile vs. non-sterile), และหากเป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับขายในร้านเวชภัณฑ์ ก็สามารถเปลี่ยนหมวดหมู่ของสินค้าได้ เช่น จากหมวด Chapter 30 (รหัส 3005) ไปยังหมวดสิ่งทอหรือหมวดอื่น ๆ
หมายเหตุ: ก่อนเริ่มการผลิตในปริมาณมากหรือการจัดส่งล็อตใหญ่ ควรรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวัสดุ / วัตถุประสงค์ในการใช้งาน / บรรจุภัณฑ์ / ตัวอย่างฉลาก แล้วส่งให้ตัวแทนออกของของคุณพิจารณาการจัดประเภทล่วงหน้า (pre-classification) ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการแก้ไขเอกสารภายหลัง โดยทั่วไป การจัดประเภทล่วงหน้าจะดำเนินการโดยตัวแทนออกของ ส่วนบริษัทขนส่ง (forwarder) จะเป็นผู้จัดการด้านเวลาให้สอดคล้องกับแผนการขนส่ง
บทที่ 3: หลักสำคัญเพื่อการปฏิบัติตามกฎระเบียบของสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (แบบเข้าใจง่าย)
สหรัฐอเมริกา | QMSR คืออะไร?
QMSR (Quality Management System Regulation) คือกฎระเบียบระบบคุณภาพสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ฉบับใหม่ของ FDA ซึ่งปรับปรุงจากข้อกำหนดเดิมหรือ 21 CFR Part 820 (ระบบ QS/QSR แบบเดิม) ให้สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 13485:2016 โดยเน้นการควบคุมตามความเสี่ยงในทุกขั้นตอนของการออกแบบและการผลิต ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้: วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2026 โดย ระบบ QS/QSR แบบเดิมจะยังคงมีผลบังคับใช้อยู่จนกว่าจะถึงวันที่กำหนด
ข้อแนะนำสำหรับผู้นำเข้า/เจ้าของแบรนด์: ควรตรวจสอบว่าผู้ผลิตของคุณใช้งานระบบ ISO 13485 อยู่แล้วหรือไม่ หากไม่ใช่ อย่างน้อยควรก็มีแผนที่จะปรับตัวตามนโยบายก่อนที่ QMSR จะเริ่มบังคับใช้ และหากคุณจะเปลี่ยนหรือเพิ่มโรงงาน ควรพิจารณาเรื่องระดับความพร้อมของระบบคุณภาพของโรงงานนั้นเป็นเกณฑ์หลักในการตัดสินใจ
หมายเหตุ: ใบรับรองมีความสำคัญก็จริง แต่ความมีวินัยในการดำเนินงาน และการจัดเก็บบันทึกที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้สำคัญกว่า
เสริมสั้น ๆ (เคล็ดลับสำหรับช่วงเปลี่ยนผ่าน): ควรทำ gap analysis เปรียบเทียบว่าอะไรใน ISO 13485 ยังไม่ตรงกับ QMSR เวลาตรวจสอบซัพพลายเออร์ ควรเน้นที่การถ่ายโอนการออกแบบ (Design Transfer) การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) การควบคุมกระบวนการที่จ้างงานภายนอก (Outsourced Process Control) เพราะจุดเหล่านี้มักมีช่องโหว่
สหภาพยุโรป | EUDAMED คืออะไร?
EUDAMED คือฐานข้อมูลทางการของสหภาพยุโรปที่ใช้รองรับกฎระเบียบ MDR (กฎระเบียบสำหรับอุปกรณ์การแพทย์) และ IVDR (กฎระเบียบสำหรับเครื่องมือวินิจฉัยในหลอดทดลอง) โดยระบบนี้ประกอบด้วย 6 โมดูล ได้แก่:
การลงทะเบียนผู้มีบุคลากร (Actor registration), การลงทะเบียนอุปกรณ์/รหัส UDI (UDI/Device registration), หนังสือรับรอง (Certificates), การวิจัยทางคลินิก (Clinical Investigations), การเฝ้าระวังความปลอดภัย (Vigilance), การเฝ้าระวังตลาด (Market Surveillance)
โมดูลเหล่านี้จะทยอยเปิดใช้งานเป็นระยะ ๆ โดยคาดว่าจะมีการอัปเดตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2025
ข้อแนะนำสำหรับผู้นำเข้า/เจ้าของแบรนด์: สำหรับสินค้าที่จะนำเข้าสู่สหภาพยุโรป ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่า: ผู้ผลิตหรือซัพพลายเออร์ของคุณได้ลงทะเบียนบุคลากร ในระบบ EUDAMED แล้วหรือไม่, รหัส UDI (Unique Device Identification) ถูกต้องหรือไม่, ฉลากสินค้าและเอกสารคำแนะนำการใช้งาน (IFU - Instructions for Use) มีการใช้ภาษาที่เหมาะสมตามประเทศเป้าหมาย, เอกสารทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเครื่องหมาย CE อยู่ในสภาพสมบูรณ์และพร้อมใช้งาน
หมายเหตุ: ให้ตรวจสอบให้แน่ใจว่า ฉลากสินค้า, เอกสาร IFU และข้อมูลในระบบ (EUDAMED) มีความสอดคล้องกัน เพราะหาก“เอกสารผ่าน” แต่ไม่ตรงกับบรรจุภัณฑ์จริง อาจนำไปสู่การถูกตรวจสอบ และอาจเกิดปัญหาได้
เสริมสั้น ๆ (การบังคับใช้โมดูล): ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป สหภาพยุโรปจะเริ่ม บังคับใช้แต่ละโมดูลแยกกันเป็นรายส่วน ซึ่งวันเริ่มบังคับใช้จริง และรายละเอียดการเปลี่ยนผ่านต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับประกาศล่าสุดของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission)
บทที่ 4: เอกสารและการติดฉลาก: เช็กลิสต์ตามสถานการณ์จริง
เจ้าหน้าที่ศุลกากรไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมของคุณ ดังนั้นการเขียนคำอธิบายให้ชัดเจนจะช่วยให้พวกเขาช่วยคุณได้ง่ายขึ้น โดยเอกสารที่ต้องครอบคลุมมี 2 ส่วนหลักได้แก่:
1) เอกสารสำคัญในการขนส่ง
ให้ใบแจ้งหนี้การค้า (commercial invoice) และใบรายการบรรจุภัณฑ์ (packing list) มีข้อมูลตรงกัน และต้องระบุรายละเอียดชัดเจน เช่น: วัสดุที่ใช้ผลิต, จุดประสงค์การใช้งาน, สถานะการผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อหรือไม่ และรวมถึงการแนบ หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (certificate of origin) ด้วย หากคุณต้องการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือหากลูกค้าร้องขอ
สำหรับ สินค้าที่เป็นอุปกรณ์การแพทย์ ควรแนบเอกสารแสดงการปฏิบัติตามข้อกำหนด (เช่น: หนังสือรับรองจากผู้ผลิตว่าเป็นไปตาม QMSR หรือ ISO 13485, เอกสาร CE, เอกสารหรือหลักฐานอื่นที่เป็นข้อกำหนดของประเทศปลายทาง) หากสินค้า มีส่วนผสมของยา หรือสารฆ่าเชื้อ เช่น สวอบชุบแอลกอฮอล์ (ethanol swabs) อาจต้องใช้ รายงานผลการทดสอบ หรือ ใบอนุญาตพิเศษ เพิ่มเติม
หมายเหตุ:
การเขียนคำอธิบายสินค้าให้ คนทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญสามารถเข้าใจได้ ถ้าคนทั่วไปที่พอมีความรู้พื้นฐานยังไม่เข้าใจว่าสินค้าคืออะไร ก็มีโอกาสสูงที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรก็จะไม่เข้าใจเช่นกัน
หากคุณไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เขียนไป “พร้อมสำหรับการยื่นศุลกากร” หรือไม่ ให้ ตัวแทนขนส่ง (forwarder) และ ตัวแทนออกของ (broker) ตรวจสอบพร้อมกันแต่เนิ่น ๆ เพราะวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการแก้ไขหลังจากของถูกส่งออกไปแล้วมาก
2) การติดฉลากและการตรวจสอบย้อนกลับ
เรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า และอาจต้องมีการรวมข้อมูลต่าง ๆ เช่น UDI/บาร์โค้ด (ถ้ามี), หมายเลขล็อต ชุด, วันหมดอายุ, วิธีการทำให้ฆ่าเชื้อ (เช่น EO – เอทิลีนออกไซด์, Gamma – การฉายรังสีแกมม่า) และเงื่อนไขการจัดเก็บ (เช่น 2–8 °C หรือ 15–25 °C)
ในสหภาพยุโรป (EU) โดยทั่วไปแล้วจะต้องใช้ฉลากภาษาท้องถิ่น ส่วนในอเมริกาเหนือจะให้ความสำคัญกับความชัดเจนและการปฏิบัติตามระเบียบ
สำหรับสินค้าที่ต้องควบคุมอุณหภูมิ ควรระบุช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในเอกสารและฉลาก พร้อมทั้งกำหนดวิธีการใช้เครื่องบันทึกข้อมูลอุณหภูมิ (data-logger) และแนวทางปฏิบัติเมื่ออุณหภูมิอยู่นอกช่วงที่กำหนด
เกี่ยวกับ "ถ้ามีผลบังคับใช้" (if applicable): ในแนวทางการติดฉลากผลิตภัณฑ์ระดับสากล "ถ้ามีผลบังคับใช้" หมายถึง
(1) แสดงข้อมูลนั้นเฉพาะเมื่อมันเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์จริง ๆ และเป็นข้อกำหนดของกฎหมายปลายทาง
(2) ละเว้นไม่ต้องแสดงข้อมูลนั้นหากผลิตภัณฑ์ไม่มีคุณสมบัตินั้น หรือหากกฎข้อบังคับไม่ได้ครอบคลุมถึงกรณีนั้น
สัญญาณเตือน (Red flags):
ความไม่สอดคล้องกัน เช่น ใบแจ้งหนี้ระบุว่า “ไม่ใช่อุปกรณ์การแพทย์” แต่กล่องบรรจุภัณฑ์ระบุว่า “สำหรับศัลยกรรม” มักทำให้เกิดข้อสงสัยเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และอาจนำไปสู่ความล่าช้าที่ด่านศุลกากร
บทที่ 5: ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและผลกระทบ (จากประสบการณ์จริง)
- คำอธิบายไม่ชัดเจน → รหัสสินค้าไม่ถูกต้อง
แค่เขียนว่า “ถุงมือ ปราศจากแป้ง” ไม่พอ ต้องระบุให้ครบ เช่น วัสดุ (ไนไตรล์/ลาเท็กซ์/PE), วัตถุประสงค์การใช้งาน (ทางการแพทย์/ไม่ใช่ทางการแพทย์), และสถานะการทำให้ปราศจากเชื้อ หากขาดข้อมูลใดข้อมูลหนึ่ง รหัสสินค้าก็อาจเปลี่ยน และความเสี่ยงเพิ่มขึ้น - มองข้ามสถานะบรรจุภัณฑ์สำหรับขายปลีก
เช่น ผ้าก๊อซหรือพลาสเตอร์ หากอยู่ในบรรจุภัณฑ์สำหรับขายในร้านขายยา อาจเข้าข่าย Chapter 30 (รหัส 3005) แต่หากไม่ใช่ อาจถูกจัดอยู่ในหมวดสิ่งทอ - ข้อมูลสำคัญบนฉลากไม่ครบ
LOT, วันหมดอายุ, วิธีทำให้ปราศจากเชื้อ, เงื่อนไขการเก็บรักษา และสำหรับสหภาพยุโรป ต้องมี UDI และเป็นภาษาท้องถิ่น ข้อมูลขาดหายแม้เพียงข้อเดียว อาจทำให้สินค้าถูกระงับหรือถูกส่งคืน - เอกสารไม่ตรงกับของจริง
เช่น หากใบแจ้งหนี้ระบุว่า “ไม่ใช่เวชภัณฑ์” แต่กล่องระบุว่า “สำหรับศัลยกรรม” หรือมีการ์ดควบคุมอุณหภูมิในกล่อง แต่ในเอกสารกลับไม่ระบุอุณหภูมิ ก็เตรียมตอบคำถามจากเจ้าหน้าที่ได้เลย - บันทึกเรื่องการควบคุมอุณหภูมิไม่ชัดเจน
แค่เขียนว่า “แช่เย็น” ไม่พอ ต้องระบุช่วงอุณหภูมิที่ชัดเจน เช่น 2–8 °C หรือ 15–25 °C ใช้เครื่องบันทึกข้อมูลอุณหภูมิหรือไม่? ถ้าอุณหภูมิหลุดช่วงตอนถึงปลายทาง จะตัดสินอย่างไร?ความกำกวมเหล่านี้มักนำไปสู่ข้อโต้แย้งได้
หมายเหตุ:การจัดประเภทสินค้า (classification) ต้องอิงตามข้อความทางกฎหมายและหมายเหตุในแต่ละบทของพิกัดศุลกากร (chapter notes) ไม่ใช่ตามชื่อเล่นหรือคำเรียกในวงการ ในทางปฏิบัติ ผู้รับจัดส่งสินค้าที่มีประสบการณ์ (forwarder) ที่ดีจะตรวจสอบความสอดคล้องของข้อมูลและระยะเวลา (timeline) ล่วงหน้าก่อน ซึ่งช่วยลดโอกาสที่สินค้าจะถูกปฏิเสธในภายหลังได้อย่างมาก
บทที่ 6: รายการที่ต้องตรวจสอบก่อนการจัดส่ง (Pre-shipment Checklist) (copy ไปใช้ได้เลย)
A. ข้อมูลสินค้า (Product Facts)
- ชื่อ / รุ่นสินค้า:
- วัสดุ (เช่น NBR ไนไตรล์, ลาเท็กซ์, PP):
- วัตถุประสงค์การใช้งาน (การแพทย์ / ไม่ใช่การแพทย์; ที่สัมผัสร่างกาย):
- ผ่านการทำให้ฆ่าเชื้อหรือไม่? (EO / Gamma / ไม่ได้ฆ่าเชื้อ):
- มีบรรจุภัณฑ์สำหรับขายปลีกด้านการแพทย์หรือไม่? (มี / ไม่มี; รายละเอียดบรรจุภัณฑ์):
B. ข้อกำหนดและการติดฉลาก (Compliance & Labeling)
- ประเทศปลายทาง/ตลาดที่จัดส่งถึง:
- UDI / CE / มีเครื่องหมายหรือต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง (ถ้ามีให้ใส่เพิ่ม):
- ฉลากบนกล่องด้านนอกและฉลากหน่วยสินค้า แสดงข้อมูล LOT, วันหมดอายุ, เงื่อนไขการเก็บรักษา? (ต้องแนบตัวอย่างด้วย):
C. ศุลกากรและการขนส่ง (Customs & Shipping)
- รหัสพิกัดศุลกากรที่เสนอ (HS/HTS) (ให้นายหน้าศุลกากรตรวจสอบอีกครั้ง):
- ข้อกำหนดอุณหภูมิ: (อุณหภูมิห้อง / 15–25 °C / 2–8 °C / −20 °C ฯลฯ)
- มีการใช้เครื่องบันทึกข้อมูลอุณหภูมิ (Data logger) หรือกำหนดวิธีจัดการหากอุณหภูมินอกช่วง (OOR) แล้วหรือยัง?
- เอกสารครบหรือไม่? (ใบแจ้งหนี้, รายการบรรจุ, ใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า (COO), รายงานผลทดสอบ / ใบรับรองต่าง ๆ):
เคล็ดลับ:เมื่อกรอกข้อมูลเสร็จแล้ว ให้ส่งรายการนี้ไปยัง ผู้รับจัดส่ง (forwarder) และ ตัวแทนออกของ (broker) พร้อมกัน เพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายพิธีการทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
บทที่ 7: สรุปภาพรวม! กำหนดให้ชัด, จัดให้ตรง, แล้วค่อยส่ง
เส้นทางที่ราบรื่นนั้นเป็นมักเส้นตรง: อธิบายลักษณะสินค้าให้ชัดเจนก่อน (วัสดุ / การใช้งาน / บรรจุภัณฑ์ / การฆ่าเชื้อ) → ยืนยันการจัดประเภทและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง → เลือกวิธีการขนส่งและควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม ใช้บทความนี้เป็นหลัก: กรอกแบบฟอร์มรายการตรวจสอบ (checklist) → แล้วให้ ตัวแทนออกของ และ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สรุปรายละเอียดขั้นสุดท้าย
ทวนอีกรอบ:
กฎระเบียบในแต่ละประเทศและความสามารถของผู้ให้บริการโลจิสติกส์อาจแตกต่างกัน สำหรับการยื่นเอกสารจริงหรือการจัดการขนส่ง โปรดยืนยันข้อมูลกับ ตัวแทนออกของ และ ผู้ให้บริการขนส่งของคุณ โดยตรง หากคุณต้องการเปลี่ยน checklist ให้กลายเป็น แผนการขนส่งที่มีรายละเอียดขั้นตอนการผ่านพิธีการศุลกากร ผู้รับจัดส่ง (forwarder) ของคุณสามารถประสานงานกับนายตัวแทนออกของที่มีใบอนุญาต เพื่อเสนอเส้นทางที่เหมาะสมและไทม์ไลน์ที่เป็นไปได้ (รายละเอียดขึ้นอยู่กับประเทศปลายทางและข้อตกลงสัญญา)
คำศัพท์พื้นฐาน (สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ)
- HS = ระบบพิกัดศุลกากรสากล (Harmonized System)
- HTS = พิกัดอัตราศุลกากรของสหรัฐอเมริกา (Harmonized Tariff Schedule – USA)
- QMSR = ข้อบังคับระบบบริหารคุณภาพฉบับปรับปรุงล่าสุดของ FDA (องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ)
- 21 CFR Part 820 (legacy QS/QSR) = ข้อกำหนดระบบคุณภาพเดิมของสหรัฐฯ สำหรับอุปกรณ์การแพทย์
- ISO 13485:2016 = มาตรฐานสากลว่าด้วยระบบบริหารคุณภาพสำหรับอุปกรณ์การแพทย์
- MDR = กฎระเบียบของสหภาพยุโรปสำหรับอุปกรณ์การแพทย์ (Medical Device Regulation)
- IVDR = กฎระเบียบของสหภาพยุโรปสำหรับเครื่องวิเคราะห์ในหลอดทดลอง (In Vitro Diagnostic Regulation)
- EUDAMED = ฐานข้อมูลอย่างเป็นทางการของสหภาพยุโรปสำหรับการขึ้นทะเบียนและข้อมูลเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์
- UDI =รหัสประจำตัวอุปกรณ์แบบเฉพาะเจาะจง (Unique Device Identification) เพื่อใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับ
- EO / Gamma = วิธีการทำให้ปราศจากเชื้อ
- EO = ก๊าซเอทิลีนออกไซด์ (Ethylene Oxide)
- Gamma = การฉายรังสีกามมา (Gamma Irradiation)
- non-medical = ไม่ใช่สำหรับการแพทย์ ใช้ระบุบนฉลากหรือเอกสาร
- surgical: non-medical use = ใช้ในงานศัลยกรรม "ไม่ใช่ทางการแพทย์" / surgical (medical) use "ใช้ในงานศัลยกรรม (ทางการแพทย์)" บนฉลากและเอกสาร
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต