ประเทศไทยสามารถกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตเฟอร์นิเจอร์โลหะแห่งใหม่ภายใต้รหัส HTS 940320

By Richie Lin Photo:CANVA
ประเทศไทยได้ค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตหลัก หลังจากที่บริษัทข้ามชาติทั่วโลกเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ตั้งแต่จีนเข้าร่วมองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี 2000 จีนก็ได้กลายเป็นโรงงานของโลก ด้วยพลังขับเคลื่อนจากนโยบายรัฐบาล แรงงานจำนวนมาก และการลงทุนกับเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จนสร้างห่วงโซ่อุปทานที่สมบูรณ์ที่สุดในประวัติศาสตร์ภายในประเทศเดียว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีการแข่งขันระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ ก็ได้ทำให้บริษัทที่มีโรงงานในจีนต้องเริ่มประเมินอย่างจริงจังแล้วว่า ควรย้ายหรือตั้งโรงงานใหม่ในประเทศอื่นหรือไม่ หากสินค้าของพวกเขามีตลาดหลักอยู่ในสหรัฐฯ ด้วยเหตุนี้ เราจึงเริ่มเห็นลูกค้าที่หันไปมองหาซัพพลายเออร์เจ้าอื่นๆ จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภายใต้กระแสการย้ายห่วงโซ่อุปทานออกจากจีนนี้ ประเทศไทยได้ค่อยๆ สร้างตัวเองให้กลายเป็นผู้เล่นสำคัญในห่วงโซ่อุปทานโลก สำหรับสินค้าหลายประเภท เช่น ยางรถยนต์ แผงโซลาร์เซลล์ อาหารหมาแมว และเฟอร์นิเจอร์ ตัวอย่างเช่น สินค้าภายใต้รหัส HTS 940320 ซึ่งรวมถึงเฟอร์นิเจอร์โลหะ เช่น ตู้เก็บเครื่องมือ ตู้เก็บของ และระบบจัดเก็บ ที่กำลังถูกผลิตในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ
จากการวิจัยของ World Bank จากเว็บไซต์ wits.worldbank.org พบว่า มูลค่าการส่งออกเฟอร์นิเจอร์โลหะ ภายใต้รหัส HTS 940320 ของไทย ในปี 2017 อยู่ที่ 60.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักที่นำเข้าสูงสุดที่ 19.78 ล้านดอลลาร์ และในปี 2023 มูลค่าการส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเป็น 155.66 ล้านดอลลาร์ และเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียวมีมูลค่าสูงถึง 130.88 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นเกือบ 84% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ภายในเวลาเพียง 6 ปี มูลค่าส่งออกที่เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า ได้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์โลหะในประเทศไทย และบทบาทของอุตสาหกรรมไทยที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระแสการกระจายแหล่งผลิตออกจากจีน โดยบริษัทข้ามชาติที่หันมาเลือกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นศูนย์กลางการผลิตใหม่
ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค กำลังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการต้นทางและปลายทางที่หลากหลาย จำเป็นต้องใช้ผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรที่สามารถให้บริการจากหลายประเทศไปยังหลายประเทศ โดยสามารถให้บริการตั้งแต่การรับของ การผ่านพิธีการศุลกากร การขนส่งระหว่างประเทศ การจัดการคลังสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งถึงปลายทาง ผู้ให้บริการโลจิสติกส์นี้ต้องมีข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ และเครือข่ายที่พร้อมรองรับการเคลื่อนย้ายสินค้าที่ซับซ้อนเช่นนี้ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการที่ครบวงจรต้องมีระบบไอทีที่ออกแบบมาอย่างดี เพื่อให้สามารถติดตามสถานะการจัดส่งแบบออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และใช้ระบบ VMI ในการติดตามข้อมูลการเข้า-ออก และสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์จากคลังสินค้าต่างๆ ห่วงโซ่อุปทานจะมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจีนไม่สามารถเป็นแหล่งผลิตเพียงแห่งเดียวของโลกได้อีกต่อไป และการบริโภคก็จะกระจายไปในหลายประเทศ ดังนั้นลูกค้าจึงจำเป็นต้องพึ่งบริการของผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการขนส่งของสินค้า จากแหล่งกำเนิดที่หลากหลายไปยังตลาดปลายทางที่หลากหลายต่อไปในอนาคต
หากต้องการปรึกษาเรื่องโลจิสติกส์ในประเทศไทย กรุณาติดต่อ: richie_lin@tgl-group.net
ขอขอบคุณหากคุณสามารถแบ่งปันบล็อก TGL ในหมู่เพื่อนของคุณที่สนใจข้อมูลตลาดโดยตรงของโซ่อุปทานและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่อัปเดต